งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง
71
วาทกรรมกระแสหลั
ก และสรุ
ปทิ้
งท้
ายไว้
ว่
า ความรู้
เช่
นนี้
อาจจะกลายเป็
นวาทกรรม
ครอบง�
ำไปได้เช่นกั
น หากไม่เปิดกว้างยอมรั
บความแตกต่างและความหลากหลาย
ทางวั
ฒนธรรม ที่
เกิ
ดขึ้
นในหมู่ชาวบ้านเอง (ยุ
กติ
2548: 171-180)
ในช่
วงทศวรรษที่
2530 และ 2540 การศึ
กษาสั
งคมไทยบนความเข้
าใจ
วั
ฒนธรรมเชิ
งวาทกรรมได้
ขยายตั
วออกไปอี
กอย่
างกว้
างขวาง ซึ่
งอาจจะจ�
ำแนก
ออกได้อย่างน้อย 3 ประเด็
นใหญ่ๆ คื
อ ประเด็
นแรก วาทกรรมของระบอบความรู้
ประเด็
นที่
สอง วาทกรรมของวั
ฒนธรรมบริ
โภคนิ
ยม และประเด็
นที่
สาม วาทกรรม
วั
ฒนธรรมพหุ
นิ
ยม
ส�
ำหรั
บประเด็
นแรกนั้นจะมุ
่
งศึ
กษา
วาทกรรมของระบอบความรู้
ใน
ลักษณะที่เป็นการเมืองของความรู้ โดยเฉพาะความรู้เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ
เช่
น การนิ
ยามความหมายของป่
า บนพื้
นฐานของการผูกขาดความรู้
แบบ
วิ
ทยาศาสตร์
เข้
ากั
บอ�
ำนาจรั
ฐ และการกั
กขั
งอั
ตลั
กษณ์
ของคนที่
อาศั
ยอยู่
กั
บป่
า งาน
วิ
จั
ยในประเด็
นนี้
จึ
งมั
กจะเป็
นการวิ
จั
ยเชิ
งวิ
พากษ์
เพื่
อวิ
เคราะห์
ให้
เห็
นเบื้
องหลั
งของ
วาทกรรม ว่าขั
ดแย้งในตั
วเองมากกว่าเป็นความจริ
ง และเกี่
ยวพั
นกั
บการเมื
องของ
การกี
ดกั
นกลุ่มคนบางกลุ่ม เช่น ชาวเขา เพื่
อไม่ให้เข้าถึ
งทรั
พยากรเหล่านั้
น พร้อม
ทั้
งการสร้
างความเป็
นอื่
นให้
เกิ
ดขึ้
นด้
วย ซึ่
งน�
ำไปสู่
การลดทอนความเป็
นมนุ
ษย์
ของ
กลุ่มคนเหล่านั้
น (สมบั
ติ
2541, ปิ่นแก้ว 2548)
ในบางกรณี
วาทกรรมของระบอบความรู้
ก็
อาจจะปรากฏในลั
กษณะที่
เรี
ยกว่
า
การเมื
องของการอนุ
รั
กษ์
ดั
งจะเห็
นได้
จากงานของผู้
เขี
ยนเอง (Anan 1998) ซึ่
งศึ
กษา
นโยบายในการอนุ
รั
กษ์
ป่
าของรั
ฐ ด้
วยการประกาศเป็
นอุ
ทยานแห่
งชาติ
ว่
าเป็
นเพี
ยง
วาทกรรมครอบง�
ำ บนพื้
นฐานของการอ้
างความรู้
แบบวิ
ทยาศาสตร์
แต่
เมื่
อวิ
เคราะห์
ลงไปภายใต้
บริ
บทของการช่
วงชิ
งความหมาย ก็
จะพบว่
านโยบายและวาทกรรม
ดังกล่าวขัดแย้งในตัวเอง เพราะในด้านหนึ่
งจะกีดกันกลุ่มชายขอบจากการเข้าถึง
ทรั
พยากร ด้
วยการกล่
าวหาว่
ากลุ
่
มชนเหล่
านี้
ใช้
ทรั
พยากรที่
ท�
ำลายธรรมชาติ
ทั้
งๆ ที่
พวกเขามี
ความรู้
ในการใช้
และการจั
ดการทรั
พยากรอย่
างซั
บซ้
อน ขณะที่
ในอี
กด้
าน
หนึ่
งเปิ
ดให้
กลุ
่
มชนภายนอกเขตอนุ
รั
กษ์
สามารถเข้
ามาใช้
ทรั
พยากรในเชิ
งพาณิ
ชย์
ได้