38
ถกเถียงวัฒนธรรม
ขณะที่
นั
กการศึ
กษาอย่
าง เอกวิ
ทย์
ณ ถลาง (2540) ซึ่
งหั
นไปศึ
กษาภูมิ
ปั
ญญา
ชาวบ้
านทั่
วประเทศในส่
วนที่
เกี่
ยวข้
องกั
บการด�
ำรงชี
วิ
ต แทนที่
จะศึ
กษาจาก
ด้
านคติ
ชนอย่
างเดี
ยว จึ
งยอมรั
บว่
าภูมิ
ปั
ญญาไม่
ใช่
รากเหง้
าดั้
งเดิ
มที่
ตายตั
วเสมอไป
เพราะสามารถปรั
บปรนและเปลี่
ยนแปลงได้
ในความสั
มพั
นธ์
กั
บการด�
ำรงชี
พ
ในระบบนิ
เวศ และสภาพแวดล้
อมทางสั
งคมและวั
ฒนธรรมที่
ได้
พั
ฒนาสื
บสานกั
นมา
ด้
วยการอธิ
บายการปรั
บปรนว่
า หมายถึ
ง การทิ้
งบางความรู้
อย่
างไปบ้
าง และ
การรั
บของใหม่
มาบ้
าง ซึ่
งแสดงถึ
งความสามารถในการผสมผสานความรู้
ต่
างๆ กั
น
ได้อย่างแนบเนี
ยน รวมทั้
งความรู้แบบอื่
นๆ จากภายนอกชุ
มชนด้วย แต่ก็
ยั
งไม่ได้
ให้ความสนใจกั
บความสั
มพั
นธ์ที่
ขั
ดแย้งต่างๆ ในท้องถิ่
นมากนั
ก
ที่จริงความเข้าใจวัฒนธรรมท�
ำนองนี้ ก็คล้
ายคลึงกับความคิดของพระยา
อนุ
มานราชธน เพราะในบทความบางชิ้
นพระยาอนุ
มานราชธนก็
หั
นมาสนใจประเด็
น
การผสมผสานความรู้อยู่บ้าง เช่น บทความเรื่
อง “บ่อเกิ
ดแห่งวั
ฒนธรรมไทย” ซึ่
ง
ท่
านอธิ
บายบุ
คลิ
กของคนไทยว่
า “รู้
จั
กน�
ำเอาวั
ฒนธรรมคนอื่
นที่
เห็
นว่
าเป็
นคุ
ณ เป็
น
ประโยชน์
มาแทรกซึ
มวั
ฒนธรรมเดิ
มของตน และสามารถปรั
บปรุ
งเปลี่
ยนแปลงให้
เกิ
ดเป็นของใหม่ และลั
กษณะพิ
เศษของไทยเอง…… บุ
คลิ
กลั
กษณะอย่างนี้
มี
อยู่แก่
ชนชาติ
ไทยสมั
ยสุ
โขทั
ยและสื
บต่
อมาจนถึ
งปั
จจุ
บั
น” (อนุ
มานราชธน 2531: 270-273)
แต่
กระนั้
นก็
ตาม คงจะเห็
นได้
ว่
า ท่
านยั
งยื
นหยั
ดอยู่
กั
บลั
กษณะทางวั
ฒนธรรมพื้
นฐาน
ดั้
งเดิ
มอย่างเหนี
ยวแน่น
แนวทางที่
สาม การศึ
กษาวั
ฒนธรรมชุ
มชนไท แนวทางนี้
เริ่
มต้
นมาจากความ
สนใจศึ
กษาเปรี
ยบเที
ยบลั
กษณะพื้
นฐานของวั
ฒนธรรมชนชาติ
ไทกลุ
่
มต่
างๆ ที่
อาศั
ย
อยู่
ในท้
องถิ่
นทั้
งหลายนอกประเทศไทย ภายใต้
บริ
บทของการพั
ฒนาสั
งคมไทยที่
ขยายตั
วมากขึ้
น จนช่
วยให้
คนไทยสามารถเดิ
นทางท่
องเที่
ยวไปในประเทศเพื่
อนบ้
าน
มากขึ้
น พร้
อมๆ กั
บอิ
ทธิ
พลของคติ
นิ
ยมพื้
นฐานดั้
งเดิ
ม ในงานของหลวงวิ
ตรวาทการ
และพระยาอนุ
มานราชธน ที่
ยั
งคงมี
สายใยแฝงอยู่
เสมอในการศึ
กษาวั
ฒนธรรม ซึ่
ง
ปลุ
กให้เกิ
ดกระแสความสนใจการศึ
กษาวั
ฒนธรรมชนชาติ
ไทขึ้
นมาอี
กครั้
งในช่วงปี
พ.ศ.2520 หลั
งจาก บรรจบ พั
นธุ
เมธา และ บุ
ญช่วย ศรี
สวั
สดิ์
ได้บุ
กเบิ
กไว้ตั้
งแต่