งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง
37
ด�
ำเนิ
นชี
วิ
ต ที่
สามารถเป็นพลั
งของสั
งคมได้ (สุ
ธิ
วงศ์ 2544) แนวคิ
ดต่างๆ เหล่านี้
ก็
ยั
งคงสะท้
อนสายใยทางความคิ
ดจากพระยาอนุ
มานราชธนได้
อย่
างชั
ดเจน แม้
จะ
หั
นมาเน้นวั
ฒนธรรมท้องถิ่
นเพิ่
มมากขึ้
นก็
ตาม
การให้
ความส�
ำคั
ญกั
บพลั
งทางความคิ
ดในคติ
ท้
องถิ่
นนี้
เอง ที่
ผลั
กดั
นให้
นั
กวิ
ชาการด้
านคติ
ชนหั
นมาใช้
ค�ำว่
า ภูมิ
ปั
ญญาพื้
นบ้
าน มากขึ้
น ดั
งจะเห็
นได้
ชั
ดเจนเมื่
อพิ
จารณาผ่านงานเขี
ยนต่างๆ ของ จารุ
วรรณ ธรรมวั
ตร ซึ่
งมองเห็
นพลั
ง
ความสามารถของภูมิ
ปัญญาแฝงอยู่ในคุ
ณค่าของการด�
ำรงชี
วิ
ต เพราะมี
รากเหง้า
มาจากการผสมผสานคติความเชื่อที่เป็นฐานคิดด้านต่างๆ ในชีวิตประจ�ำวันอย่าง
หลากหลาย ทั้
งศาสนาพุ
ทธ พราหมณ์ และคติ
ท้องถิ่
น ทั้
งส่วนที่
เป็นโลกทั
ศน์และ
ชี
วทั
ศน์
จนหลอมรวมกั
นเข้
าเป็
นค่
านิ
ยมและส�
ำนึ
กเชิ
งอุ
ดมการณ์
ของความเป็
น
ส่
วนรวม ในระดั
บเครื
อญาติ
และครอบครั
ว เพื่
ออยู่
ร่
วมกั
บสภาวะแวดล้
อมทางสั
งคม
และธรรมชาติ
อย่
างกลมกลื
น ดั
งนั้
นภูมิ
ปั
ญญาจึ
งเป็
นแก่
นสารความคิ
ดหรื
อคติ
ที่แฝงอยู่ในวิถีชีวิต ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี และภาษาวรรณกรรม ซึ่งสามารถ
ถ่ายทอดและใช้ขั
ดเกลาคนในท้องถิ่
น เพื่
อให้ด�
ำเนิ
นชี
วิ
ตไปตามอุ
ดมการณ์
แต่
มุ
มมองเช่
นนี้
เองก็
มั
กจะกลายเป็
นข้
อจ�
ำกั
ดไปด้
วย เพราะเน้
นเฉพาะด้
าน
ความรู้เกิดจากภายในท้องถิ่นเท่านั้
น และจะมองความรู้อื่นๆ จากภายนอก โดย
เฉพาะความรู้
แบบวิ
ทยาศาสตร์
จากตะวั
นตกเป็
นคู่
ตรงข้
ามกั
น ผลที่
ตามมาก็
คื
อ
นั
กวิชาการด้านคติชนมักติดกับดักของความคิดแบบคู่ตรงข้าม จึงไม่สนใจทั้งการ
แลกเปลี่
ยนความรู้ ความขั
ดแย้ง และการเปลี่
ยนแปลงที่
อาจแฝงอยู่ในวิ
ถี
ชี
วิ
ตด้วย
แม้ในภายหลัง สุธิวงศ์ พงษ์ไพบูลย์ (2544) จะเริ่มสนใจการเปลี่ยนแปลง
มากขึ้
น เมื่
อหั
นมาศึ
กษาวิ
ถี
ชี
วิ
ตท้องถิ่
นกั
บการพั
ฒนา ด้วยการมองว่าภูมิ
ปัญญา
นั้
นมี
พลวั
ต ซึ่
งหมายถึ
งความสามารถในการปรั
บตั
วกั
บการเปลี่
ยนแปลง แต่
ก็
ยั
งคง
มองการปรั
บตั
วบนพื้
นฐานของโครงสร้
างความคิ
ดที่
สั่
งสมมา ในฐานะพลั
งทาง
วั
ฒนธรรมจากภายในที่
เป็
นอั
ตลั
กษณ์
และศั
กดิ์
ศรี
ของท้
องถิ่
น มากกว่
าการ
ผสมผสานกั
บความรู้
แบบอื่
นๆ จากภายนอก เพื่
อสร้
างภูมิ
ปั
ญญาขึ้
นมาใหม่
เพราะ
ยั
งคงยึดโยงอยู่กั
บพื้
นฐานความคิ
ดดั้
งเดิ
มนั่
นเอง