168
สืบโยดสาวย่าน
และไม่มี
วรรณยุ
กต์ (ฉั
นทั
ส ทองช่วย : 2519) เช่นเดี
ยวกั
นหนั
งสื
อ “ภาษาชาวเล
Urak Lawoi ?” อมร ทวีศักดิ์ (2526) ได้จัดกลุ่มภาษาชาวเลว่าเป็นภาษาตระกูล
มาลาโยโพลิ
เนเซี
ยน มี
เสี
ยงคล้ายคลึ
งกั
บภาษามาเลย์มาตรฐาน และภาษามลายู
ในสี่
จั
งหวั
ดภาคใต้
แต่
ไวยากรณ์
แตกต่
างกั
นบ้
าง ส่
วนภาษามอแกลน (มอแกนบก)
จั
ดอยู่
ในตระกูลออสโตรนี
เซี
ยนใกล้เคี
ยงกั
บ ภาษามอแกน (มอแกนเกาะ) แต่
มี
การ
ยื
มเสียงวรรณยุ
กต์ 3 เสี
ยง มาจากภาษาถิ่
นใต้ของไทยซึ่
งมี
7 เสี
ยง ค�
ำบางค�
ำใน
ภาษามอแกลนยังไม่มีความแตกต่างทางความหมายระหว่างใส่วรรณยุกต์และไม่
ใส่วรรณยุ
กต์ (โอลิ
เวี
ยร์ แฟร์รี
และคณะ : 2549)
ด้
านนั
นทนาการชาวเลเป็
นกลุ
่
มชนที่
รั
กสนุ
กชอบร้
องร�
ำท�
ำเพลง ทั้
งใน
ชีวิตประจ�ำวันและในพิธีกรรมต่างๆ เช่น ในพิธีลอยเรือ หรือ พิธีการแก้บน ฯลฯ
ในพิ
ธี
ลอยเรื
อเพื่
อบูชาบรรพบุ
รุ
ษของชาวเลอูรั
กลาโว้
ยแต่
ละขั้
นตอนมี
การร�
ำชนิ
ด
หนึ่
งที่แตกต่
างจากรองแง็
ง ทั้
งบทเพลงและท่
าร�
ำ เรี
ยกว่
า “ร�
ำมะนา” ตามต�
ำนาน
กล่
าวว่
า ท่
าร�
ำได้
แรงบั
นดาลใจจากการเคลื่
อนไหวของปูทะเลหรื
อปูเหล็
กไฟ (อาภรณ์
อุ
กฤษณ์ : 2532)
ทั้
งนี้
ในงานวิ
จั
ย เรื่
องรองแง็
ง : ระบ�
ำพื้
นเมื
องในภาคใต้ของไทย (สาวิ
ตร
พงศ์วั
ชร์: 2537) ผู้วิ
จั
ยเข้าใจคลาดเคลื่
อนว่า ชาวเลอูรั
กโว้ยที่
จั
งหวั
ดภูเก็
ตใช้ท่าร�
ำ
และบทเพลงรองแง็ง ส�
ำหรับประกอบพิธีกรรม แล้วต่อมาการร�
ำรองแง็งที่นิยมใน
ภาคใต้
มี
การเปลี่
ยนแปลงจากการร�
ำเพื่
อพิ
ธี
กรรม ไปสู่
การร�
ำเพื่
อการท่
องเที่
ยว และ
เปลี่
ยนแปลงท่าร�
ำ การแต่งกาย และเพลง ซึ่
งแท้ที่
จริ
งแล้ว รองแง็
งดั้
งเดิ
มเป็นนว
ตกรรมผสมผสานวั
ฒนธรรมตะวั
นตกและตะวั
นออกเข้
าด้
วยกั
นได้
แก่
วั
ฒนธรรมชาว
ยุ
โรป อาหรั
บ และมลายู ต่
อมาแพร่
กระจายจากแถบชวามลายูเข้
าสู่
ไทยทั้
ง 2 ฟาก
ฝั่
งทะเล รองแง็
งฝั่
งอั
นดามั
นแพร่
เข้
ามาโดยคนเดิ
นทาง ชาวมลายูจากเกาะปี
นั
งเผย
แพร่แก่ชาวเลและชาวไทยมุ
สลิ
มแถบเกาะลั
นตาและเกาะภูเก็
ต จนกระทั่
งเกิ
ดการ
ผสมผสานระหว่
างวั
ฒนธรรมชาวเล ไทยมุ
สลิ
ม และไทยพุ
ทธพั
ฒนารูปแบบทั้
งด้
าน
วรรณกรรม คี
ตกรรม และนาฏกรรม จนกลายเป็
นนวตกรรมใหม่
อั
นเป็
นเอกลั
กษณ์
ท้องถิ่
น (อาภรณ์ อุ
กฤษณ์ : 2532)
ซึ่
งแตกต่างจากท่าร�
ำของวงร�
ำมะนา ท�
ำนอง