งานวิจัยวัฒนธรรมภาคเหนือ
59
กลุ่
มต่
างๆ นั้
นมี
ไม่
เท่
ากั
น สิ่
งนี้
ส่
วนหนึ่
งเกิ
ดจากตั
วหั
วข้
อหรื
อโจทย์
การวิ
จั
ยเอง บาง
ครั้
งหั
วข้
อจะก�
ำหนดบทบาทและตั
วผู้
เข้
าร่
วม เช่
น หากหั
วข้
อเป็
นเรื่
องการทอผ้
า
ก็
แน่
นอนว่
าเป็
นพื้
นที่
ของผู้
หญิ
ง แต่
หากเป็
นเรื่
องอื่
นๆ เช่
นพิ
ธี
กรรม หรื
อ ศิ
ลปะแขนง
อื่
นๆ หรื
อ การส�ำรวจแหล่งโบราณสถาน ก็
จะพบว่าเป็นเรื่
องของผู้ชาย นอกจากนี้
“ผู้ชาย” ที่
ว่านั้
นก็
มั
กจะเป็นผู้น�
ำชุ
มชน ปราชญ์ชาวบ้าน หรื
อผู้อาวุ
โสเสี
ยมากกว่า
ผู้ชายกลุ่มอื่นๆ ส่วนเด็กๆ มักมีบทบาทในฐานะผู้เป็นเป้าหมายที่จะต้องถูกท�
ำให้
เรี
ยนรู้มากกว่าที่
จะมามี
ส่วนร่วมเป็นฝ่ายก�ำหนดกระบวนการเรี
ยนรู้
งานวิ
จั
ยชิ้
นต่
างๆ นั้
นจะพบว่
ามี
ระดั
บของการต่
อรองต่
างกั
น บางชิ้
นนั้
น
ดูราวกั
บว่
าองค์
ความรู้
มี
ลั
กษณะทางเดี
ยวจากบนลงล่
าง เช่
นในงานวิ
จั
ยของ
กรรณิ
การ์
และคณะ (2546) ในหั
วข้
อ “กระบวนการมี
ส่
วนร่
วมของชุ
มชนกั
บการ
ถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านดนตรีพื้นบ้านเพื่อปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมและ
ลั
กษณะนิ
สั
ยของเยาวชน” เห็
นได้
ชั
ดเจนว่
าโจทย์
ถูกก�
ำหนดมาก่
อนแล้
ว เด็
กๆ
ตกเป็
นผู้
รั
บสารที่
ถูกคั
ดกรองแล้
วโดยผู้
ใหญ่
ถูกก�
ำหนดมาก่
อนแล้
วว่
าจะต้
องเรี
ยนรู้
อะไรบ้
าง และเรี
ยนรู้
อย่
างไร กระบวนการมี
ส่
วนร่
วมในกรณี
นี้
จึ
งเป็
นกระบวนการใช้
ดนตรี
เป็
นเครื่
องมื
อขั
ดเกลาทางสั
งคม (socialization) อย่
างตรงไปตรงมาเสี
ยมากกว่
า
ประเด็
นก็
คื
อ การขั
ดเกลาความเป็นมนุ
ษย์ผ่านศิ
ลปะเกิ
ดขึ้
นจากแรงบั
นดาลใจเชิ
ง
สุ
นทรี
ยะ เกิ
ดจากความงามอั
นน�
ำสู่
ความสะเทื
อนอารมณ์
ที่
ปราณี
ต และจะเกิ
ด
ขึ้
นเมื่
อมนุ
ษย์เข้าใจและเข้าถึ
งความลึ
กซึ้
งของศิ
ลปะแขนงนั้
นๆ อย่างไรก็
ตาม หาก
ดนตรี
ถูกใช้
เป็
นเครื่
องมื
อการสอนคุ
ณธรรมโดยตรง และหากนี่
คื
อหน้
าที่
ประการ
ส�ำคัญที่สุดของศิลปะแล้วละก็ ค�ำนิยามว่าศิลปะคืออะไรจะมีปัญหาทันที เพราะ
ในที่
สุ
ดก็
อาจเกิ
ดการตั้
งค�
ำถามได้ว่า การปลูกฝังคนให้เป็นคนดี
นั้
น อาจไม่ต้องท�
ำ
ผ่านศิ
ลปะก็
ได้
หรื
อต่อให้คนคนนั้
นเป็นคนดี
ได้เพราะศิ
ลปะ ก็
ไม่เกี่
ยวกั
บว่าจะต้อง
เป็
นคนดี
ของสั
งคมเสมอไป การมี
สมมติ
ฐานแฝงที่
ผูกโยงศิ
ลปะเข้
ากั
บหน้
าที่
เชิ
ง
อุ
ดมการณ์
อย่
างตรงไปตรงมาอาจสามารถถูกวิ
พากษ์
ได้
ว่
ามั
นจะน�
ำไปสู่
การลิ
ดรอน
“อิ
สรภาพเชิ
งสุ
นทรี
ยะ”ของตั
วศิ
ลปะและปิ
ดกั้
นพลั
งสร้
างสรรค์
ของศิ
ลปะเองหรื
อไม่
นอกจากนั้
นกระบวนการกลุ่มในกรณี
นี้
ก็
ดูจะเป็นกระบวนการทางเดี
ยว จากบนลง