งานวิจัยวัฒนธรรมภาคเหนือ
247
Junko Iida (2003) เรื่
อง “The Massage and the Construction of Thai Traditional
Medicine: Diversity of Authoritative Knowledge among Social Contexts” ผู้ศึ
กษา
ได้
เสนอข้
อถกเถี
ยงว่
าระบบการรั
กษาพยาบาลเป็
นระบบความรู้
ที่
ถูกประกอบ
สร้
างขึ้
นมาในทางสั
งคม การนวดในฐานะภูมิ
ปั
ญญาการรั
กษาพยาบาลพื้
นบ้
าน
ก็เช่นเดียวกันถูกสร้างขึ้นมาในหลายลักษณะ ด้วยเหตุนี้ ผู้ให้บริการด้านการนวด
ในโรงพยาบาลจึ
งแสดงตนแตกต่
างไปจากหมอนวดเพื่
อการท่
องเที่
ยวและ
อุ
ตสาหกรรมทางเพศ
ในช่
วงทศวรรษที่
2530 นั
กวิ
จั
ยชาวไทยจึ
งเริ่
มสนใจศึ
กษาภูมิ
ปั
ญญา
ด้
านสุ
ขภาพและการรั
กษาพยาบาลพื้
นบ้
าน งานวิ
จั
ยส่
วนใหญ่
จะชี้
ให้
เห็
น
ถึงศักยภาพของภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้าน เช่น งานของ ธารา อ่อนชมจันทร์
(2535) ใช้กรณีศึกษาในจังหวัดเชียงรายเปรียบเทียบให้เห็นช่องว่างในความเข้าใจ
ระหว่
างการแพทย์
พื้
นบ้
านกั
บการแพทย์
แผนใหม่
กรรณิ
การ์
กั
นธะรั
กษา
(2536) ศึ
กษาในระดั
บชุ
มชนในจั
งหวั
ดเชี
ยงใหม่
โดยอภิ
ปรายเกี่
ยวกั
บพฤติ
กรรม
การใช้
บริ
การด้
านการแพทย์
ของคนในชุ
มชน ส่
วนงานวิ
จั
ยของ อรั
ญญา
มโนสร้
อย และจี
รเดช มโนสร้
อย (2537) เป็
นเพี
ยงการเก็
บรวบรวมและจั
ดหมวดหมู่
ต�
ำรั
บยาสมุ
นไพรล้านนา
ขณะที่
งานของ รุ
จิ
นาถ อรรถสิ
ษฐ์
(2538) ศึ
กษาการปรั
บตั
วของระบบ
หมอนวดในระดั
บชุ
มชนของภาคเหนื
อตอนล่าง ส่วนบุ
ษยมาศ สิ
นธุ
ประมา (2538)
ศึ
กษาการด�
ำรงอยู่และการปรั
บตั
วของแพทย์พื้
นบ้านในเมื
องเชี
ยงใหม่
ในระยะแรกนั้นมี
ข้
อสั
งเกตที่
น่
าสนใจว่
า การศึ
กษาด้
านภูมิ
ปั
ญญาด้
าน
การรักษาพยาบาลพื้นบ้านของนั
กวิชาการไทยจะเน้
นความส�
ำคัญของภูมิปั
ญญา
ด้
านสมุ
นไพรอย่
างมาก ดั
งจะเห็
นได้
ว่
ามี
งานวิ
จั
ยในระดั
บวิ
ทยานิ
พนธ์
ปริ
ญญาเอก
เช่น วิ
ทยานิ
พนธ์ของ ประดิ
ษฐ์ จิ
รเดชประไพ (2540) เรื่
อง ‘การด�
ำรงอยู่และการ
ปรั
บเปลี่
ยนของระบบการแพทย์
พื้
นบ้
าน: ศึ
กษากรณี
การใช้
สมุ
มไพร ในจั
งหวั
ด
พิ
ษณุ
โลก’ และบทความของ Jiradej Manosroi (2005) เรื่
อง “Translation of Lanna
Medicinal Plant Recipes for Research and Development of Modern Pharmaceuticals