184
กำ�กึ๊ดกำ�ปาก
และรายได้
ของครั
วเรื
อน จึ
งไม่
น่
าแปลกใจที่
ผู้
หญิ
งไม่
รี
รอที่
จะออกมาแสดงบทบาท
ในการต่
อรองสิ
ทธิ
ชุ
มชนในพื้
นที่
สาธารณะด้
วย ขณะที่
ผู้
หญิ
งในภาคเหนื
อก็
มี
ศักยภาพพร้อมในการเคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อช่วงชิงการนิยามสิทธิชุมชนใน
พื้
นที่
สาธารณะ เพราะมี
ทั้
งประสบการณ์
ในการพึ่
งพาและได้
ประโยชน์
จากป่
า และ
มีฐานของเครือข่ายในระบบเครือญาติสืบเชื้อสายทางผู้หญิงเป็นพลังสนับสนุ
นอยู่
เบื้
องหลั
งอี
กด้วย (วิ
เศษ 2544) ซึ่
งสอดคล้องกั
บข้อสั
งเกตของโบว์วี
(Bowie 2008)
การเมื
องของชาวบ้
านในการต่
อรองและช่
วงชิ
งการนิ
ยามสิ
ทธิ
ชุ
มชนนี้
เอง
ได้
มี
ส่
วนอย่
างมากในการยกระดั
บการเมื
อง จากการต่
อรองเพื่
อทรั
พยากรและ
ผลประโยชน์
เฉพาะหน้
าจากรั
ฐ ผ่
านการก�
ำหนดกลยุ
ทธ์
ต่
างๆ ในการเลื
อกตั้
ง
ดั
งได้
กล่
าวไปแล้
ว และขยายไปสู่
การเมื
องของการต่
อรอง ในระดั
บของการ
ปรั
บเปลี่
ยนโครงสร้
างของความสั
มพั
นธ์
ระหว่
างชุ
มชนท้
องถิ่
นกั
บรั
ฐในระยะยาว
ผ่
านการก่
อตั
วเป็
นขบวนการทางสั
งคม ซึ่
งร่
วมมื
อกั
นระหว่
างชุ
มชนท้
องถิ่
น
นั
กพั
ฒนาเอกชน นั
กวิ
ชาการ และภาคประชาสั
งคมส่
วนอื่
นๆ เพื่
อสนั
บสนุ
นให้
รั
ฐออก
พระราชบัญญัติป่
าชุมชน ในช่
วงระหว่
างปี
2535-2550 ทั้งๆ ที่ภาคประชาสังคม
ประสบความส�
ำเร็
จ ในการผลั
กดั
นให้
ความคิ
ดเรื่
องสิ
ทธิ
ชุ
มชนกลายเป็
นที่
ยอมรั
บ ในรั
ฐธรรมนูญปี
2540 และ 2550 แล้
วก็
ตาม แต่
การผลั
กดั
นให้
ออก
พระราชบัญญัติป่าชุมชนตามหลักการสิทธิชุมชนกลับล้มเหลว เนื่องมาจากสาเห
ตุ
ใหญ่ๆ คื
อ ขาดการสนั
บสนุ
นจากภาครั
ฐ ซึ่
งยั
งคงต้องการผูกขาดอ�
ำนาจในการ
จั
ดการทรัพยากรเชิ
งเดี่
ยวอยู่ โดยไม่เข้าใจหลั
กการส�
ำคั
ญของการจั
ดการป่าชุ
มชน
ซึ่
งเป็
นการพั
ฒนาการจั
ดการทรั
พยากรเชิ
งซ้
อนหรื
อการจั
ดการแบบมี
ส่
วนร่
วม
ของหลายฝ่
าย ทั้
งชุ
มชนท้
องถิ่
น ภาคประชาสั
งคมและรั
ฐ (อานั
นท์
2555ข)
อี
กทั้
งองค์
กรภาครั
ฐต่
างๆ ยั
งคงแบ่
งรั
บแบ่
งสู้
อยู่
ระหว่
าง ความจริ
งใจเพื่
อการ
อนุ
รั
กษ์
หรื
อการให้
ความส�
ำคั
ญกั
บการพั
ฒนาเพื่
อใช้
ประโยชน์
จากทรั
พยากร
ในเชิงพาณิ
ชย์
(Johnson and Forsyth 2002) ทั้งนี้
เพราะความคิดในการอนุ
รักษ์
ของรั
ฐเป ็
นเพี
ยงการ เมื
องที่
น�
ำมานิ
ยามเพื่
อการกี
ดกั
นสิ
ทธิ
ของคนบาง
กลุ
่
มในสั
งคม พร้
อมๆ กั
บการช่
วงชิ
งทรั
พยากรไปใช้
ประโยชน์
อย่
างอื่
นๆ
ในเชิ
งพาณิ
ชย์ (Anan 1998)