งานวิจัยวัฒนธรรมภาคเหนือ
175
ภาคเหนื
อเริ่
มมี
การแยกแยะความแตกต่
างเชิ
งชนชั้
นและความขั
ดแย้
งกั
นมานาน
แล้วก็
ตาม ผ่านการกล่าวหากลุ่มคนบางกลุ่มในชุ
มชนว่าเป็นผี
กะ ซึ่
งบางช่วงเวลา
ก็หมายถึงคนจนไร้ที่ดินท�
ำกิน เพื่อกีดกันไม่ให้คนจนเข้าถึงที่นาที่มักจะถูกผูกขาด
อยู่ในกลุ่มคนมั่
งมี
(อานั
นท์ 2527 และ Anan 1984) แต่ยั
งไม่สามารถโน้มน้าวให้
นั
กวิ
ชาการไทยเปลี่
ยนมามองชุ
มชน ที่
เน้
นความแตกต่
างและความขั
ดแย้
งเป็
นภาพ
ทางเลื
อกได้
มากนั
ก เพราะภาพของชุ
มชนท้
องถิ่
นแบบวั
ฒนธรรมชุ
มชนยั
งคงครองใจ
นั
กวิ
ชาการส่
วนใหญ่
อยู่
นั่
นเอง แม้
จะเป็
นเพี
ยงภาพในเชิ
งอุ
ดมคติ
มากกว่
าภาพ
ความเป็นจริ
ง (ดู ยุ
กติ
2537 และ 2548) ที่
ก�ำลั
งเปลี่
ยนแปลงไปอย่างรวดเร็
วก็
ตาม
ส�
ำหรั
บนั
กวิ
ชาการชาวตะวั
นตกนั้
น ได้
เริ่
มให้
ความส�
ำคั
ญกั
บความแตกต่
าง
เหลื่
อมล�้
ำภายในชุ
มชนตั้
งแต่
ช่
วงทศวรรษที่
2510 มาแล้
ว (Turton 1976) และ
ในช่
วงหลั
งจากปี
2540 ก็
หวนกลั
บมายื
นยั
นภาพดั
งกล่
าวอี
กครั้
งในบทความ
เรื่อง “The alchemy of charity: of class and Buddhism in Northern Thailand”
(Bowie 1998) ซึ่
งพยายามโต้
แย้
งกั
บข้
อสรุ
ปเดิ
มที่
มั
กเข้
าใจว่
า การท�
ำบุ
ญท�
ำทานของ
ชาวบ้
านนั้
นช่
วยให้
คนในชุ
มชนอยู่
ร่
วมกั
นได้
อย่
างเกื้
อกูล แม้
จะมี
ฐานะทางเศรษฐกิ
จ
แตกต่างกั
นก็
ตาม ด้วยการชี้
ให้เห็
นว่า ความเข้าใจดั
งกล่าวเป็นเพี
ยงการมองเรื่
อง
การได้
บุ
ญจากด้
านของผู้
ให้
ทานเท่
านั้น และเสนอให้
เปลี่
ยนมามองมุ
มใหม่
ว่
า
ศี
ลธรรมของการท�
ำบุ
ญท�
ำทานนั้
นเป็
นปฏิ
สั
มพั
นธ์
ของทั้
งผู้
ให้
และผู้
รั
บทาน ในฐานะ
ที่
เป็
นพลั
งทางสั
งคมที่
กดดั
นให้
คนรวยต้
องแสดงว่
าตนมี
ความเอื้
อเฟื
้
อเผื่
อแผ่
ซึ่
งก็
ถูก
น�
ำมาใช้เป็นเงื่
อนไขให้คนจนสามารถกดดั
นและต่อรองให้คนรวยต้องแสดงตนเป็น
คนมี
เมตตากรุ
ณาได้เช่นเดี
ยวกั
น ด้วยเหตุ
นี้
เองการท�
ำบุ
ญท�
ำทานจึ
งเปรี
ยบเสมื
อน
อาวุ
ธของคนอ่
อนแอ ที่
พวกเขาสามารถน�ำมาใช้
สร้
างแรงกดดั
นทางศี
ลธรรมต่
อ
คนร�่
ำรวย แม้
จะไม่
สามารถขจั
ดฐานะทางเศรษฐกิ
จและการเมื
องที่
เหลื่
อมล�้
ำให้
หมด
ไปก็
ตาม ในท้
ายที่
สุ
ด โบว์
วี
ก็
สรุ
ปว่
า การให้ทานเป็
นเสมื
อนภาษาในการแสดงออก
ทั้
งการครอบง�
ำและการต่อต้านไปพร้อมๆ กั
น
แต่
ในความสั
มพั
นธ์
กั
บรั
ฐและการเปลี่
ยนแปลงทางเศรษฐกิ
จแบบทุ
นนิ
ยม