Previous Page  174 / 272 Next Page
Information
Show Menu
Previous Page 174 / 272 Next Page
Page Background

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคเหนือ

173

ในทางตรงกั

นข้

าม ชาวบ้

านที่

อาศั

ยอยู่

ในป่

าก็

ได้

น�

ำพิ

ธี

บวชป่

ามาใช้

ต่

อต้

านการ

สถาปนาอ�

ำนาจรั

ฐเหนื

อพื้

นที่

ผ่

านกรณี

ศึ

กษาของชาวปกาเกอะญอในหมู่

บ้

าน

แห่

งหนึ่

งในอ�

ำเภอแม่

แจ่

ม ซึ่

งผสมผสานความหมายสิ่

งแวดล้

อมนิ

ยมทาง

พุ

ทธศาสนา คริ

สต์ศาสนา และความเชื่

อท้องถิ่

นอื่

นๆ ในพิ

ธี

บวชป่า ในฐานะเป็น

ภูมิ

ปั

ญญาในการอนุ

รั

กษ์

ป่

า ที่

เป็

นส่

วนหนึ่

งของการจั

ดการป่

าชุ

มชนเชิ

งอนุ

รั

กษ์

(Lotte and Ivarsson 2002: 412-413) ในท้

ายที่

สุ

ด ลอตต์

และอิ

วาสั

นได้

อธิ

บายเพิ่

มเติ

ว่

า แม้

ชาวบ้

านอาจจะไม่

ได้

มองเห็

นไปในทางเดี

ยวกันในทุ

กเรื่อง แต่

ก็

เข้

าร่

วมใน

พิ

ธี

บวชป่

า ในฐานะเป็

นส่

วนหนึ่

งของกระบวนการปรั

บตั

วช่

วงเปลี่

ยนผ่

านของการใช้

ที่

ดิ

นในเขตป่

า ภายใต้

แรงกดดั

นต่

างๆ จากภายนอก (Lotte and Ivarsson 2002: 414)

นอกจากปฏิ

บั

ติ

การในพื้

นที่

ระดั

บท้

องถิ่

นแล้

ว ความรู้

ท้

องถิ่

นยั

งสามารถ

ขยายออกไปปฏิบัติการเคลื่อนไหวตามสถานการณ์ได้ในวงกว้างอีกด้วย ในฐานะ

เป็

นพลั

งส่

วนหนึ่

งของขบวนการเคลื่

อนไหวเชิ

งนิ

เวศ ดั

งตั

วอย่

างในการศึ

กษาใน

วิ

ทยานิ

พนธ์

ระดั

บปริ

ญญาเอกของ ประเสริ

ฐ ตระการศุ

ภกร เรื่

อง ‘Space of Resistance

and Place of Local Knowledge in Northern Thai Ecological Movement’ (Prasert 2007)

ซึ่

งพบว่

า ขบวนการเคลื่

อนไหวเชิ

งนิ

เวศในภาคเหนื

อได้

อาศั

ยการตี

ความ

ภูมิ

ปั

ญญาท้

องถิ่

นของชาวปกาเกอะญอใหม่

โดยเฉพาะความคิ

ดและคติ

ต่

างๆ

ในภาษิ

ตท้

องถิ่

นที่

เรี

ยกว่

า ‘ทา’ ซึ่

งผู้

รู้

ทางวั

ฒนธรรมของชาวปกาเกอะญอ

มักจะน�ำมาด้นไปตามสถานการณ์ ทั้งในรูปของ ค�ำพังเพย เพลง และบทกวี จึง

ช่

วยทั้

งในการสื่

อสารความเข้

าใจความหมายในเรื่

องนิ

เวศการเมื

องกั

นภายในท้

องถิ่

และช่วยสร้างวาทกรรมใหม่ๆ ในบริบทปัจจุบันทั้งในรูปของปฏิบัติการและค�

ำพูด

จนมีส่วนช่วยเปิดพื้นที่ในการต่อรองและต่อต้านหน่วยงานภาครัฐ ที่มุ่งขับเคลื่อน

นโยบายขยายพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และกีดกันชุมชนบนพื้นที่สูงไม่ให้มีส่วนร่วมในการ

ใช้และจั

ดการทรั

พยากรป่า

จากตั

วอย่

างงานวิ

จั

ยบางส่

วนข้

างต้

นช่

วยให้

เห็

นแล้

วว่

า นั

กวิ

ชาการสามารถ

มองความรู้

ท้

องถิ่

นในมิ

ติ

ของแนวความคิ

ดที่

แตกต่

างกั

นอยู่

เสมอ แม้

จะอยู่

ในบริ

บท

ของการช่

วงชิ

งความรู้

ในการพั

ฒนาเช่

นเดี

ยวกั

นก็

ตาม จากมิ

ติ

แรกนั้

นมองว่

า ความรู้