งานวิจัยวัฒนธรรมภาคเหนือ
171
เก่าๆ ออกไปได้อีกด้วย ซึ่งจัดว่าเป็นการช่วงชิงความรู้ในระบบการจัดการการใช้
ทรั
พยากรอี
กทางหนึ่
ง (Tomforde 2003: 357-359) ผ่
านปฏิ
บั
ติ
การเกี่
ยวกั
บการอนุ
รั
กษ์
ป่
า เพื่
อต่
อรองให้
รั
ฐยอมรั
บสิ
ทธิ
ที่
จะให้
พวกเขาอยู่
กั
บป่
าต่
อไปได้
การที่
กลุ
่
มชน
สามารถผสมผสานความรู้
ต่
างๆ เข้
ามาได้
ด้
วยตนเองเช่
นนี้
แสดงให้
เห็
นอย่
างชั
ดเจน
ว่า ความรู้ท้
องถิ่นไม่
จ�
ำเป็
นต้องอยู่
ในรูปขององค์
ความรู้
ที่ด�
ำรงอยู่แล้
วอย่
างหยุด
นิ่
งและตายตั
วตามความคิ
ดแบบแก่
นสารนิยม แต่
อาจจะแสดงออกมาในรูปของ
ปฏิ
บั
ติ
การที่
สามารถปรั
บเปลี่
ยนและผสมผสานกั
นอยู่เสมอตามสถานการณ์ (Situ-
ated Knowledge as Practice) เพื่
อการต่อรองในบริ
บทของความสั
มพั
นธ์เชิ
งอ�
ำนาจ
ที่
ไม่เท่าเที
ยมกั
นก็
ได้เช่นเดี
ยวกั
น (ดู Nygren 1999)
การต่
อรองและช่
วงชิ
งความรู้
ดั
งกล่
าวยั
งแสดงออกอย่
างหลากหลายรูปแบบ
โดยเฉพาะกรณี
ของปฏิ
บั
ติ
การด้
านวั
ฒนธรรมในลั
กษณะต่
างๆ เช่
น พิ
ธี
กรรมร่
วมกั
น
ของความเป็
นชุ
มชน (Ritual of Communality) ดั
งกรณี
ศึ
กษาของ ฮายามิ
เรื่
อง
“Internal and external discourse of communality, tradition and environment: minority
claims on forest in the northern hills of Thailand” (Hayami 1997) ซึ่
งพบว่า ชาว
ปกาเกอะญอ ที่
บ้
านวั
ดจั
นทร์
อ�
ำเภอแม่
แจ่
ม
2
จั
งหวั
ดเชี
ยงใหม่
ได้
ร่
วมกั
นจั
ดพิ
ธี
บวชป่
า
ขึ้นมา เพื่อสื่อสารเชิงวาทกรรมกับทั้งชาวบ้านภายในชุมชนด้
วยกันเองและสังคม
ภายนอก เมื่
อต้องเผชิ
ญกั
บภั
ยจากภายนอก เนื่
องจากองค์การอุ
ตสาหกรรมป่าไม้
ได้
พยายามเข้
ามาสร้
างโรงเลื่
อยไม้
ในป่
าสน ที่
อยู่
ในเขตป่
าต้
นน�้
ำ พวกเขาจึ
งกลั
วว่
า
ป่
าต้
นน�้
ำจะถูกท�
ำลายและกระทบต่
อการท�
ำนาด�
ำแบบขั้
นบั
นได แม้
การท�
ำนาจะเป็
น
งานของแต่
ละครั
วเรื
อน ทั้
งชุ
มชนก็
ต้
องร่
วมกั
นจั
ดการน�้
ำส�
ำหรั
บใช้
ท�
ำนา และเคยจั
ด
ท�
ำพิ
ธี
กรรมของชุ
มชนเพื่
อช่
วยจรรโลงส�
ำนึ
กร่
วมกั
นมาก่
อนก็
ตาม แต่
พิ
ธี
กรรมเหล่
านั้
น
ก็
ค่อยๆ เสื่
อมสลายหายไป หลั
งจากหั
นไปรั
บศาสนาคริ
สต์และพุ
ทธแทนความเชื่
อ
เรื่
องผี
แบบเดิ
ม จนท�
ำให้
สายตระกูลของผู้
น�
ำพิ
ธี
กรรมขาดช่
วงไปด้
วย ขณะที่
ชาวบ้
าน
ในชุ
มชนต่างก็
แข่งขั
นและช่วงชิ
งทรั
พยากรกั
นมากขึ้
น (Hayami 1997: 565-568)
ภายใต้
สถานการณ์
ล่
อแหลมดั
งกล่
าว ชาวบ้
านวั
ดจั
นทร์
ได้
หั
นกลั
บไปพลิ
กฟื
้
น
2 ปัจจุ
บั
นคื
ออ�
ำเภอกั
ลยาณิ
วั
ฒนา