168
กำ�กึ๊ดกำ�ปาก
อย่
างไรก็
ตามงานวิจั
ยส่
วนใหญ่
เหล่
านั้
นก็ยั
งคงเกี่
ยวข้
องกั
บกลุ่
มชาติพั
นธุ
์
บนที่
สูง เริ่
มจากงานของปิ
่
นแก้
ว เหลื
องอร่
ามศรี
เรื่
อง “The ambiguity of ‘watershed’:
the politics of people and conservation in northern Thailand” (Pinkaew 2000) ซึ่
ง
ศึ
กษาการช่
วงชิ
งความรู้
เกี่
ยวกั
บความก�ำกวมของความหมายของต้
นน�้ำ ระหว่
างรั
ฐ
กั
บกลุ
่
มชาติ
พั
นธุ
์
บนที่
สูง ทั้
งนี้
รั
ฐมั
กจะนิ
ยามต้
นน�้ำตามความหมายแบบชนชั้
นกลาง
ว่
าเป็
นป่
าธรรมชาติ
ซึ่
งมี
คุ
ณค่
าตามล�
ำดั
บชั้
นของความส�
ำคั
ญ ป่
าต้
นน�้
ำในที่
สูง
ตอนบนถือว่ามีความส�
ำคัญสูงสุด จึงควรจะรักษาไว้ให้อยู่ในสภาพเดิมโดยไร้การ
รบกวนใดๆ ขณะที่ป่าชั้นล่างต�่ำลงมามีความส�ำคัญน้อยลงไป ซึ่งก็มีนัยว่าคนใน
ที่
ราบลุ่
มสามารถถางป่
าเพื่
อการใช้
ประโยชน์
อย่
างไรก็
ได้
แม้
กลุ
่
มชาติ
พั
นธุ์
เช่
น ชาว
ปกาเกอะญอ จะมองเห็นความเชื่อมโยงของทั้งสองส่
วนว่
าสามารถส่
งผลกระทบ
ซึ่
งกั
นและกั
นได้
ก็
ตาม การนิ
ยามความหมายของต้
นน�้
ำของรั
ฐดั
งกล่
าว จึ
ง
เปรี
ยบเสมื
อนเป็
นการยั
ดเหยี
ยดระบอบความรู้
แบบเหมารวมของรั
ฐลงมาครอบ
กลุ่มชนที่
มี
วั
ฒนธรรมแตกต่างออกไป (Pinkaew 2000: 63)
ดั
งจะพบว่
า บนพื้
นฐานของการนิ
ยามดั
งกล่
าว มูลนิ
ธิ
แห่
งหนึ่
งของชนชั้
นกลาง
สามารถร่
วมมื
อกั
บกรมป่
าไม้
จั
ดสรรพื้
นที่
ป่
าสงวนในที่
ราบให้
กั
บชาวบ้
านในที่
ลุ
่
ม
เพื่
อเป็
นที่
ดิ
นท�
ำกิ
นในรูปแบบหมู่
บ้
านป่
าไม้
ขณะเดี
ยวกั
นนั้
นมูลนิ
ธิ
ดั
งกล่
าวกลั
บ
ระดมชาวบ้านล้อมรั้วลวดหนาม เพื่อปิ
ดกั้นไม่
ให้
คนม้
งที่อยู่
สูงขึ้นไปเข้าไปท�
ำกิน
ในที่
ไร่
ที่
พวกเขาพั
กดิ
นทิ้
งร้
างไว้
ได้
กรณี
เช่
นนี้
แสดงให้
เห็
นว่
า การนิ
ยามความหมาย
เกี่
ยวกั
บป่
าต้
นน�้ำและการอนุ
รั
กษ์
คงเป็
นเพี
ยงส่
วนหนึ่
งในการสร้
างความชอบธรรม
ให้
กั
บการขยายการใช้
ประโยชน์
พื้
นที่
ป่
าของคนพื้
นราบเท่
านั้
น ขณะที่
กี
ดกั
นกลุ่
มชน
บนที่
สูงจากการเข้
าถึ
งป่
าอย่
างเข้
มงวด การใช้
อ�
ำนาจนิ
ยามระบอบความรู้
ที่
ครอบง�ำ
เช่
นนี้
จึ
งเกี่
ยวข้
องอย่
างแยกไม่
ออกกั
บการช่
วงชิ
งการใช้
พื้
นป่
า เพราะช่
วยให้
คนกลุ่
ม
หนึ่
งได้
สิ
ทธิ
ขณะที่
กี
ดกั
นคนอี
กกลุ่
มหนึ่
ง จนน�
ำไปสู่
ความขั
ดแย้
งระหว่
างคนทั้
งสอง
กลุ่ม (Pinkaew 2000: 64-66)
ภายใต้
บริ
บทของความสั
มพั
นธ์
เชิ
งอ�
ำนาจที่
ไม่
เท่
าเที
ยมกั
นดั
งกล่
าว ปิ่
นแก้
ว
ยั
งพบอี
กด้วยว่า คนม้งในฐานะผู้ด้อยอ�
ำนาจจึ
งพยายามต่อสู้ ผ่านการช่วงชิ
งการ