งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน
275
คั
นทวยไม้แกะสลั
กเป็นรูปภาพพญานาคงดงามอ่อนช้อย ตามแบบศิ
ลปกรรมไทย
อีสาน ซึ่งทรุดโทรมลงมาก แต่ต่อมาการอนุรักษ์สิมวัดสุวรรณาวาสจึงส�
ำเร็จด้วย
การบริ
จาคแรงงาน สิ่
งของ และเงิ
นจากญาติ
มิ
ตร ผู้มี
จิ
ตศรั
ทธา วิ
โรฒ ศรี
สุ
โรและ
ธาดา สุ
ทธิ
ธรรม (2543) ศึ
กษาหลั
กบ้านและพบว่า การออกแบบ “หลั
กบ้าน” นั้
น
ค�
ำนึ
งถึ
งหลั
กเกณฑ์
3 หั
วข้
อ คื
อ 1.รูปแบบ มั
กนิ
ยมท�
ำเป็
นเสาไม้
กลมหรื
อไม้
ปาดมุ
ม
ให้
เป็
นรูป 8 เหลี่
ยม ไม่
ก�
ำหนดขนาดและความสูง ส่
วนใหญ่
ขั้
นหั
วให้
เป็
นรูปเสาหั
วดุ
ม
หรื
อรูปทรงบั
วตูมโดยหยาบ ไม่
พิ
ถี
พิ
ถั
นนั
ก แบ่
งออกเป็
นแบบหลั
กปลายแหลม
ธรรมดา แบบหยั
กปลายไม่
มี
ลวดลายแบบหยั
กปลายตกแต่
งลวดลายแบบประยุ
กต์
2.วั
สดุ
แต่
เดิ
มนั้
นใช้
ไม้
ทั้
งสิ้
น ไม้
ที่
นิ
ยมท�ำต้
องเป็
นไม้
มงคล เช่
น คูณ ยอ ถ้
าหาไม่
ได้
อาจใช้
ไม้
แคน (ตะเคี
ยน) ไม้
เต็
ง เป็
นต้
น นอกจากนี้
ช่
างพื้
นบ้
านยั
งนิ
ยมน�
ำซี
เมนต์
มาท�
ำ
แทนไม้
เนื่
องจากทนทานและสามารถท�ำลวดลายได้
ง่
าย 3.การตกแต่
ง หากเป็
นวั
สดุ
ที่
ท�
ำจากไม้
ช่
างนิ
ยมสลั
กหยาบๆ เป็
นเสมื
อนรอยขี
ดซ้
อนกั
นลงไปในเนื้
อไม้
บางครั้
ง
ก็
มี
การหยั
กปลายอย่
างที่
ช่
างพื้
นบ้
านเรี
ยกว่
า “แอวขั
น” โดยแบ่
งเป็
นส่
วนปลายและ
ส่วนล�
ำตั
ว ส่วนปลายจะถาก ปาดยอดให้เป็นทรงบั
วเหลี่
ยมแล้วสลั
กเป็นลายกาบ
(คล้ายกระจั
ง) ซ้อนกั
นเหมื
อนกาบของหน่อไม้ที่
เจริ
ญงอกงามโผล่จากผิ
วดิ
น
ช�
ำนาญ เล็
กบรรจง (2545) ศึ
กษาลั
กษณะและรูปแบบลวดลายประดั
บ
สถาปั
ตยกรรมทางศาสนาในภาคอี
สาน พบว่
า ลั
กษณะของลวดลายประดั
บ
สถาปัตยกรรมทางศาสนาเป็นลวดลายที่ช่างได้แนวคิดจากธรรมชาติและลายไทย
ถ่
ายทอดสื
บต่
อกั
นมาแบบตระกูลช่
งสามารถประยุ
กต์
ดั
ดแปลงให้
เหมาะสมกั
บ
ลั
กษณะสถาปั
ตยกรรมไทยได้
ดี
การเรี
ยกชื่
อลวดลายและเรี
ยกตามที่
ได้
มาของครูช่
าง
ลั
กษณะคุ
ณค่
าความงามของลวดลายช่
างจะออกแบบให้
มี
ส่
วนประกอบของศิ
ลปะ
ปรากฏอยู่ในแต่ละลวดลายได้แก่ ความงามที่
เกิ
ดจากเส้นรูปร่าง รูปทรง แสง-เงา
พื้
นผิ
ว ช่องว่าง และสี
ผสมผสานกั
นอย่างลงตั
ว วิ
โรฒ ศรี
สุ
โร (2539) ศึ
กษาหอไตร
ของอีสานในด้านคุณค่าและเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น กล่าวถึงหอไตร
หมายถึ
ง อาคารที่
สร้
างขึ้
นเพื่
อเก็
บรวบรวมพระไตรปิ
ฎก อั
นมี
พระอภิ
ธรรมปิ
ฎก
พระสุ
ตตั
นตปิ
ฎก(พระสูตร) และพระวิ
นั
ยปิ
ฎก เพื่
อให้
พระสงฆ์
ได้
เล่
าเรี
ยนศึ
กษา