งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง
115
ครั้
งที่
12 ในรั
ชสมั
ยสมเด็
จพระเจ้
ากรุ
งธนบุ
รี
ในปี
พ.ศ.2317 พระยาเจ่
ง
ได้
น�
ำมอญเข้
ามา และได้
ตั้
งถิ่
นฐานในเขตนนทบุ
รี
ปทุ
มธานี
คื
อ เกาะเกร็
ด บางพูด
และบางตะไนย์
ครั้
งที่
13 เป็
นการอพยพในสมั
ยพระบาทสมเด็
จพระพุ
ทธเลิ
ศหล้
าฯ ซึ่
งมี
มอญหลบจากการกวาดล้างของพม่าหลังจากที่
พยายามปฏิ
วั
ติ
ไม่ส�
ำเร็
จ เข้ามาถึ
ง
30,000-40,000 คน ในปีพ.ศ.2358 และในปีเดี
ยวกั
นนี้
มี
มอญ 300 คนจากปทุ
มธานี
ถูกส่งเข้าไปท�
ำหน้าที่
ป้องกั
นสมุ
ทรปราการ และได้ตั้
งถิ่
นฐานอยู่ที่
นั่
น
ครั้
งที่
14 การอพยพเกิ
ดขึ้
นในรั
ชสมั
ยพระบาทสมเด็
จพระนั่
งเกล้
าฯ ได้
มี
มอญ 3,000 ครอบครั
วอพยพไปตั้
งถิ่
นฐานในจั
งหวั
ดกาญจนบุ
รี
และต่อมาเข้ามา
ตั้
งถิ่
นฐานในกรุ
งเทพฯ ใกล้วั
ดชั
ยชนะสงคราม
ตามหลั
กฐานดั
งกล่
าว เป็
นที่
น่
าสั
งเกตว่
าการอพยพของมอญส่
วนใหญ่
เป็
นไป
อย่
างสมั
ครใจ แตกต่
างจากการถูกอพยพของกลุ
่
มชาติ
พั
นธุ
์
ที่
ใช้
ภาษาตระกูลไท
และชุ
มชนมอญที่
ปรากฏในงานศึ
กษาวิ
จั
ย เป็
นลูกหลานของมอญที่
อพยพในสมั
ยที่
ต่
างๆ กั
น คื
อ รั
ชสมั
ยกรุ
งธนบุ
รี
รั
ชสมั
ยพระบาทสมเด็
จพระพุ
ทธเลิ
ศหล้
าฯ รั
ชสมั
ย
พระบาทสมเด็
จพระนั่
งเกล้
าฯ เป็
นส่
วนใหญ่
ที่
เป็
นส่
วนน้
อยอาจจะมี
ความเก่
าแก่
ถึ
ง
สมั
ยอยุ
ธยา เช่
น ชุ
มชนมอญที่
สามโคก จ.ปทุ
มธานี
อาจจะเข้
ามาในรั
ชสมั
ยสมเด็
จ
พระนารายณ์
และที่
บ้
านม่
วง อ.บ้
านโป่
ง จ.ราชบุ
รี
ในสมั
ยรั
ชสมั
ยสมเด็
จพระนเรศวร
นอกจากชุ
มชนมอญที่
มี
ประวั
ติ
เก่
าแก่
ว่
าอพยพมาตั้
งแต่
สมั
ยอยุ
ธยา
กรุ
งธนบุ
รี
และรั
ตนโกสิ
นทร์ ซึ่
งถูกเรี
ยกว่า “มอญเก่า” คื
อเป็นมอญที่
อพยพเข้ามา
ก่
อนรั
ชสมั
ยพระบาทสมเด็
จพระพุ
ทธเลิ
ศหล้
าฯ ส่
วน “มอญใหม่
” ก็
คื
อมอญที่
อพยพ
เข้ามาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้
าฯ แล้
วยังมีชุมชนมอญพลัดถิ่น
ที่
อพยพเข้ามาในช่วงหลั
งสงครามโลกครั้
งที่
2 อย่างเช่นชุ
มชนมอญแถบชายแดน
อย่างเช่นที่
“วั
งกะ” อ.สั
งขละ จ.กาญจนบุ
รี
เป็นต้น
จากงานวิ
จั
ยที่
ปรากฎพบว่
ามี
ชุ
มชนมอญกระจุ
กตั
วและกระจายตั
วในจั
งหวั
ด
ต่างๆ คื
อสมุ
ทรปราการ ลพบุ
รี
ราชบุ
รี
นนทบุ
รี
ปทุ
มธานี
กาญจนบุ
รี
สมุ
ทรสาคร