งานวิจัยวัฒนธรรมภาคเหนือ
67
ก็
ชี้
ให้
เห็
นปรั
ญชาความรู้
แบบประจั
กษ์
นิ
ยม (empiricism) เบื้
องหลั
งงานวิ
จั
ยเหล่
านั้
น
ที่
เชื่
อว่
าเราสามารถ “เข้
าถึ
ง” ความเป็
นจริ
งในโลกนี้
ได้
อย่
างตรงไปตรงมา นอกจาก
นี้
น�้
ำเสี
ยงของงานวิ
จั
ยในแนวนี้
ส่
วนใหญ่
มั
กประเมิ
นค่
าเชิ
งบวกแก่
ระบบคุ
ณค่
าที่
อยู่
ในตั
วศิ
ลปะ มองเห็
นว่
าเป็
นสิ่
งกล่
อมเกลาชี้
ทางแก่
สมาชิ
กของสั
งคม ศิ
ลปวั
ฒนธรรม
จึ
งเป็
น “ความจริ
ง” อั
นทรงคุ
ณค่
าในตั
วเองและเป็
นมรดกที่
สั
งคมมอบแก่
ชนรุ่
นหลั
ง
วิ
ธี
ที่
ศิ
ลปะสะท้
อนความเป็
นจริ
งทางสั
งคมนั้
น สามารถศึ
กษาได้
หลายวิ
ธี
วิ
ธี
แรก คื
อ
ศึ
กษาระบบคุ
ณค่าภูมิ
ปัญญาของสังคมตรงๆ จากตั
วเนื้
อหา (content)
ของงานศิ
ลปะแขนงนั้
นๆ เช่
นศึ
กษาเนื้
อหาของโคลงล้
านนา (ทรงศั
กดิ์
& หทั
ยวรรณ,
2542) หรื
อการศึ
กษาเปรี
ยบเที
ยบระหว่างสุ
ภาษิ
ตไทลื้
อ ไทยวนและไทยภาคกลาง
และพบความคล้
ายคลึ
งกั
นอย่
างมากในแง่
เนื้
อหาที่
ถ่
ายทอดค�
ำสอนต่
างๆ (ลมูล
2538) และการศึ
กษาเนื้
อหาของเพลงพื้
นบ้าน (รุ
จพร, 2539) ว่าสะท้อนค�ำสอนทาง
ศี
ลธรรม วิ
ธี
การครองเรื
อน คุ
ณธรรมของผู้ปกครองอย่างไรบ้าง
วิ
ธี
ที่
สองคื
อ ศึ
กษาผ่
านรูปแบบ โครงสร้
าง (form and structure) และ
องค์
ประกอบทางศิ
ลปะ จะเห็
นชั
ดจากงานที่
ศึ
กษาสถาปั
ตยกรรม เช่
น รูปแบบของ
เรื
อนล้านนา (อนุ
วิ
ทย์, 2539) ความหมายของเสา การวางทิ
ศ การจั
ดพื้
นที่
ภายใน
และภายนอกตั
วอาคาร หรื
อการวางผั
งวั
ดหลวงในล้
านนา (กรกนก, 2545) หรื
อการ
ศึ
กษาองค์ประกอบของจิ
ตรกรรม (ทิ
พวรรณ, 2546) เป็นต้น
วิ
ธี
ที่
สาม คื
อ การศึ
กษาความเป็
นจริ
งในระดั
บลึ
ก วิ
ธี
วิ
จั
ยในข้
อนี้
จะต่
างจาก
สองข้
อข้
างต้
นตรงที่
มิ
ได้
อิ
งอยู่
กั
บปรั
ชญาประจั
กษ์
นิ
ยม ความเป็
นจริ
งทั้
งเกี่
ยวกั
บตั
ว
มนุษย์และสังคมเป็นความเป็นจริงเชิงโครงสร้างระดับลึกที่ไม่อาจมองเห็นได้อย่าง
ตรงไปตรงมา แต่
ต้
องอาศั
ยวิ
ธี
การ “ถอดรหั
ส” ทางวั
ฒนธรรม วิ
ธี
การเช่
นนี้
เป็
นการ
ศึ
กษาในระดั
บที่
ไปพ้
นจากจิ
ตส�
ำนึ
กของเจ้
าของวั
ฒนธรรมเอง โดยมี
สมมติ
ฐานว่
ามี
โครงสร้างจิตมนุษย์ในระดับลึกที่ก�
ำหนดโครงสร้างของสิ่งประดิษฐ์ทางวัฒนธรรม
ต่
างๆ วิ
ธี
การแบบโครงสร้
างนิ
ยมนี้
จะวิ
เคราะห์
โครงสร้
างขององค์
ประกอบทางศิ
ลปะ
โดยแยกองค์ประกอบเหล่านั้
นเป็นส่วนย่อยๆ เพื่
อหาลั
กษณะพื้
นฐาน ตั
วอย่างงาน
วิ
จั
ยในแนวนี้
ได้กล่าวละเอี
ยดไปแล้วในหั
วข้อ 2.2