งานวิจัยวัฒนธรรมภาคเหนือ
39
หทั
ยวรรณ, 2542, ลมูล, 2538) เป็นต้น จุ
ดที่
คล้ายกั
นของระเบี
ยบวิ
ธี
วิ
จั
ยในกลุ่ม
นี้ก็
คื
อ การเก็
บข้
อมูลเชิ
งพรรณนา (descriptive) โดยแจกแจงรายละเอี
ยดของ
องค์
ประกอบศิ
ลปะแขนงนั้
นๆ เพื่
อตอบค�
ำถามประเภท what เกี่
ยวกั
บโครงสร้
างและ
องค์ประกอบทางศิ
ลปะแขนงนั้
นๆ เสี
ยเป็นส่วนใหญ่ เช่น ลั
กษณะฉั
นทลั
กษณ์ของ
บทกลอน รูปแบบของดนตรี
ทั้
งด้านเนื้
อหาและโครงสร้างของระบบโน้ต โครงสร้าง
ของลายผ้
าและเทคนิ
คการทอผ้
ามี
ลั
กษณะอย่
างไร เป็
นต้
น ในแง่
นี้
ผู้
วิ
จั
ยมุ
่
งให้
ข้อมูลอธิบายตัวมันเอง นั่
นก็คือรายละเอียดวิเคราะห์เชิงพรรณนาท�ำให้เราเข้าใจ
โครงสร้
างภายในของศิ
ลปะนั้
นๆ วิ
ธี
วิ
เคราะห์
เช่
นนี้
มองงานศิ
ลป์
ในลั
กษณะ system
thinking คือมองเห็นตัวงานศิลป์เป็นคล้ายระบบปิด ที่มีระเบียบภายในและความ
เชื่
อมโยงกั
นขององค์ประกอบภายในระบบนั้
นๆเอง
อย่
างไรก็
ตาม แม้
หน่
วยการวิ
เคราะห์
(unit of analysis) จะอยู่
ที่
ตั
ว
องค์
ประกอบของงานศิ
ลป์
เป็
นส่
วนใหญ่
แต่
ก็
มี
ความพยายามที่
จะเชื่
อมโยงงาน
ศิ
ลปะแขนงนั้
นๆ เข้
ากั
บวิ
ถี
ชี
วิ
ต ความเป็
นอยู่
และประเพณี
ของชาวบ้
าน หรื
ออี
กนั
ยหนึ่
ง
พยายามน�
ำเสนอโดยให้
ศิ
ลปะเป็
นส่
วนหนึ่
งของวั
ฒนธรรมมากกว่
าที่
จะแยกกล่
าวถึ
ง
เฉพาะตั
วศิ
ลปะนั้
นๆ วิ
ธี
การเชื่
อมโยงนั้
นใช้
ทั้
งการศึ
กษาเปรี
ยบเที
ยบ เช่
นงานศึ
กษา
เรื่
องโคลงค�
ำสอนล้
านนา 2 ชิ้
นซึ่
งผู้
วิ
จั
ยพยายามเพิ่
มมิ
ติ
ของการศึ
กษาเปรี
ยบเที
ยบ
ชิ้
นแรกคื
อ งานของทรงศั
กดิ์
และหทั
ยวรรณ (2542) น�
ำวรรณกรรมประเภทโคลงของ
ล้านนามา 5 เรื่
องศึ
กษาเปรี
ยบเที
ยบในแง่ ส�
ำนวนโวหาร และเนื้
อหาตลอดจนวิ
ธี
การสอนจริ
ยธรรม พบความคล้ายคลึ
งที่
ชี้
ให้เห็
นว่าทั้
ง 5 เรื่
องน่าจะมี
ที่
มาจากเรื่
อง
เดี
ยวกั
น ส่
วนงานก่
อนหน้
านั้
นของลมูล (2538) ศึ
กษาเปรี
ยบเที
ยบสุ
ภาษิ
ตล้
านนากั
บ
ไทลื้
อ เปรี
ยบเที
ยบทั้
งด้
านโครงสร้
างประโยคและวลี
ที่
ใช้
การใช้
ค�
ำศิ
ลปะการประพั
นธ์
ตลอดจนเนื้
อหาของสุ
ภาษิ
ต พบความคล้
ายกั
นทั้
งในด้
านโครงสร้
างและเนื้
อหา ชี้
ให้
เห็
นลั
กษณะของทั
ศนคติ
ทางสั
งคม ปรั
ชญาและศี
ลธรรมที่
คล้
ายกั
น ในแง่
นี้
ดูผู้
วิ
จั
ย
งานทั้
งสองชิ้
นจะมี
สมมติ
ฐานลึ
กๆ ว่
า การศึ
กษาเปรี
ยบเที
ยบจะช่
วยให้
ค้
นพบ
เอกลั
กษณ์
ทางวั
ฒนธรรมร่
วมกั
นของผู้
คนในแถบนี้
ได้
ผู้
วิ
จั
ยจึ
งมี
สมมติ
ฐานลึ
กๆ
ในเรื่
อง แก่
นแกนร่
วมกั
นทางวั
ฒนธรรม อย่
างไรก็
ตามการศึ
กษาวิ
เคราะห์
ที่
“เนื้
อหา”