งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง
27
เป็
นส�
ำคั
ญ ตามนโยบายของรั
ฐ จนท�
ำให้
ความเข้
าใจวั
ฒนธรรมยึ
ดติ
ดอยู่
กั
บเอกภาพ
ของความคิ
ด ที่
เป็
นแบบชาติ
นิ
ยมอย่
างแยกกั
นไม่
ออก ขณะเดี
ยวกั
นวั
ฒนธรรม
ยั
งคงมี
นัยของอารยธรรมหรื
อความเจริ
ญงอกงามผสมผสานอยู่ด้วย
อาจกล่
าวได้
ว่
า ความเข้
าใจวั
ฒนธรรมทั้
งสองนั
ยนี้
ถื
อเป็
นความคิ
ด
กระแสหลั
ก และสามารถครองใจปั
ญญาชนไทยมาอย่
างต่
อเนื่
องได้
จนถึ
งทุ
กวั
น
นี้
โดยเฉพาะปัญญาชนในส่วนกลาง ส่วนหนึ่
งอาจเป็นเพราะความตรึ
งใจในฐานะ
ความเข้
าใจครั้
งแรก อี
กส่
วนหนึ่งมาจากการที่
ปั
ญญาชนเองก็
ถูกดึ
งให้
เข้
ามามี
ส่วนร่วม ในกระบวนการสร้างรั
ฐชาติ
ด้วย ทั้
งโดยรู้ตั
วและไม่รู้ตั
ว ด้วยเงื่
อนไขที่
ว่า
ครั้
งนั้
นสั
งคมไทยยั
งไม่
ให้
ความส�
ำคั
ญกั
บวั
ฒนธรรมของการวิ
พากษ์
วิ
จารณ์
นัก ระบบการศึ
กษาไทยจึ
งถูกนโยบายชาติ
นิ
ยมและกระบวนการสร้
างรั
ฐชาติ
ครอบง�
ำได้
ง่
าย ขณะเดี
ยวกั
นระบบการศึ
กษาก็
ยั
งค่
อนข้
างปิ
ด และการแลกเปลี่
ยน
กั
บสั
งคมภายนอกก็
ยั
งจ�ำกั
ดอยู่ด้วย
อย่างไรก็ตาม ปัญญาชนท้องถิ่นที่เริ่มสนใจศึกษาวัฒนธรรมของตนเองใน
ลั
กษณะสมั
ครเล่
น กลั
บไม่
ได้
ใส่
ใจกั
บเอกภาพของความคิ
ดตามอย่
างส่
วนกลาง
แต่หันมามองความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกันในท้องถิ่นของตนแทน
ซึ่งบางครั้งก็แฝงไว้
ด้
วยนัยของการไม่
ยอมรับความคิดครอบง�
ำจากส่
วนกลาง จน
กลายเป็นแรงกระตุ้นให้เกิ
ดความเข้าใจวั
ฒนธรรมที่
หลากหลายขึ้
นมา พร้อมๆ กั
บ
ก่
อตั
วขึ้
นเป็
นจารี
ตของการศึ
กษาวั
ฒนธรรมที่
แตกต่
างจากส่
วนกลางตามมาอี
กด้
วย
ในช่วงทศวรรษที่
2480 มี
งานศึ
กษาวิ
จั
ยวั
ฒนธรรมอย่างเป็นทางการขึ้
นใน
สั
งคมไทยเป็
นครั้
งแรก จากกรณี
ของงานวิ
จั
ยวั
ฒนธรรมชาวลั
วะแถบแม่
ฮ่
องสอนของ
หม่
อมเจ้
าสนิ
ท รั
งสิ
ต (Steinmann and Sanidh 1939) ซึ่
งศึ
กษาวิ
ชามานุ
ษยวิ
ทยาจาก
ประเทศเยอรมัน แต่ผลงานวิจัยครั้งนี้ไม่แพร่หลายในสังคมไทย ส่วนหนึ่
งก็เพราะ
เขียนเป็
นภาษาเยอรมั
น จึ
งอาจจะยังไม่
มี
อิ
ทธิพลต่
อการศึ
กษาสั
งคมไทยมากนั
ก
ส่วนการศึ
กษาอย่างจริ
งจั
งนั้
นเริ่
มต้นขึ้
นราวปลายทศวรรษที่
2480 โดยนั
กวิ
ชาการ
ที่
บ่มเพาะตั
วเองขึ้
นมาในสั
งคมไทย เช่น พระยาอนุ
มานราชธน บุ
ญช่วย ศรี
สวั
สดิ์
และจิ
ตร ภูมิ
ศั
กดิ์
เป็
นต้
น หลั
งจากปี
พ.ศ.2510 เป็
นต้
นมาก็
เริ่
มมี
นั
กวิ
จั
ยวั
ฒนธรรมที่