26
ถกเถียงวัฒนธรรม
ประเทศอั
งกฤษ แต่
จะเน้
นในความหมายของความเจริ
ญงอกงาม ที่
วิ
วั
ฒนาการขึ้
น
มาในสั
งคมเป็นหลั
ก ความเข้าใจวั
ฒนธรรมในทศวรรษที่
2470 จึ
งน่าจะยั
งมี
ความ
สั
บสนปนเปอยู่กั
บความหมายของอารยธรรม
ในยุคก่
อนหน้
านั้
น ปั
ญญาชนไทย เช่
น ก.ศ.ร กุ
หลาบ เมื่อเขี
ยนหนั
งสือ
“อายะติวัฒน์”
ในปี
พ.ศ.2454 มั
กใช้
ค�ำว่
า “ธรรมเนี
ยมแก้
ว” ในความหมาย
ใกล้เคี
ยงกั
บวั
ฒนธรรม และใช้ค�
ำว่า “ขนบธรรมเนี
ยมเรี
ยบร้อย” หมายถึ
งซิ
วิ
ไลซ์
ด้
วยการวงเล็
บไว้
หลั
งค�ำดั
งกล่
าว (2538: 82) ซึ่
งต่
อมาค�ำนี้
จึ
งถูกบั
ญญั
ติ
ขึ้
นเป็
น
ภาษาไทยว่า อารยธรรม ความสั
บสนเหล่านี้
สะท้อนถึ
ง ปัญหาของปัญญาชนไทย
ในขณะนั้
น ที่
พยายามจะเล่าความเข้าใจของตนเกี่
ยวกั
บความสั
มพั
นธ์กั
บประเทศ
ตะวั
นตก ซึ่
งพวกเขายอมรั
บว่
าเจริ
ญกว่
า แต่
ก็
ยั
งไม่
ชั
ดเจนว่
าอะไรเจริ
ญ เพราะ
ขาดค�
ำในภาษาไทยที่
จะอธิ
บายสภาวะดั
งกล่
าว ในกรณี
ของ ก.ศ.ร กุ
หลาบ
จะใช้
วิ
ธี
เพิ่
มเติ
มค�
ำเข้
าไปขยายความ เพื่
อแสดงนั
ยของธรรมเนี
ยมที่
ดี
และมี
นั
ยเกี่
ยว
กั
บความเจริ
ญขึ้
น
แม้
แต่
กรมพระยาด�
ำรงราชานุ
ภาพก็
ยั
งทรงสั
บสน เพราะท่
านทรงใช้
วัฒนธรรม ด้
วยการใส่
ความหมายในวงเล็
บท้
ายค�
ำว่
า Civilization ในพระนิพนธ์
เรื่อง “สมาคมไทยอย่
างโบราณ” ในหนั
งสื
อ
นิทานโบราณคดี
ซึ่
งทรงนิ
พนธ์
ไว้
ในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2483-2485 โดยทรงตั้
งข้อสังเกตว่า สมาคม (หมายถึ
งสั
งคม
ชุ
มชน) ของไทยโบราณมี
ความเท่
าเที
ยมกั
นและอยู่
ร่
วมกั
นอย่
างเป็
นสุ
ข “จึ
งเห็
นควร
นั
บว่าเป็น
วัฒนธรรมอย่างสูง
ตามสมควรแก่ท้องถิ่
น” จนทรงคิ
ดว่าเป็นลั
กษณะ
หนึ่
งของสั
งคมนิ
ยม ที่
มีอยู่ในสั
งคมไทยมาก่อนแล้ว (ด�
ำรงราชานุ
ภาพ 2514: 323)
ส่
วนการให้
ความหมายของค�
ำว่
า “วั
ฒนธรรม” ตรงกั
บค�
ำว่
า “Culture”
ในภาษาอั
งกฤษนั้
น พระเจ้
าวรวงศ์
เธอ กรมหมื่
นนราธิ
ปพงศ์
ประพั
นธ์
ทรงเป็
น
ผู้
บั
ญญั
ติ
ขึ้
น หลั
งจากที่
ทรงแปลว่
า “พฤทธิ
ธรรม” มาก่
อน แต่
ไม่
เป็
นที่
นิ
ยม ต่
อมาจึ
ง
ทรงเปลี่
ยนเป็
นวั
ฒนธรรม (นราธิ
ปประพั
นธ์
พงศ์
2544: 116) ซึ่
งสั
นนิ
ษฐานว่
า คงจะ
บั
ญญั
ติ
ขึ้
นในช่
วงใกล้
เคี
ยงกั
บการออกพระราชบั
ญญั
ติ
บ�
ำรุ
งวั
ฒนธรรมแห่
งชาติ
ปี
พ.ศ.2483 (ยุ
กติ
2548: 90) ในครั้
งนั้
นวั
ฒนธรรมจึ
งถูกผูกโยงเข้
ากั
บความเป็
นไทย