งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน
167
แม้
แต่มนุษย์
วิธีการหาความรู้
แบบวิทยาศาสตร์
จึงได้
ลดทอนมนุษย์ให้
กลายเป็น
เพี
ยงวั
ตถุ
แห่งการศึ
กษา เช่นเดี
ยวกั
บกรวด หิ
น ดิ
น ทราย และสั
ตว์
จากข้อจ�ำกัดของวิธีการหาความรู้แบบวิทยาศาสตร์ดังที่กล่าวมาท�ำให้เมื่อ
ราว 100 ปี
ก่
อนมี
ความพยายามในแวดวงปั
ญญาชน นั
กวิ
ชาการ และนั
กคิ
ดใน
การวิพากษ์วิธีการหาความรู้แบบนี้ ด้วยให้ความส�
ำคัญกับแนวทางภาษาศาสตร์
แนวทางนี้
ที่
ไม่
เชื่
อว่
าภาษาจะมี
ฐานะเป็
นเพี
ยงสื่
อกลางหรื
อเป็
นกระจกเงาที่
สะท้
อน
ความจริ
งได้
อย่
างตรงไปตรงมา อี
กทั้
งภาษาก็
ไม่
ได้
เป็
นเพี
ยงแค่
เครื่
องมื
อที่
มนุ
ษย์
ใช้
สื่
อสารความคิ
ดของตั
วเองหรื
อสื่
อสารโลกแห่งความจริ
งโดยทั่
วไปเท่านั้
น แต่ภาษา
เป็
นตั
วกระท�
ำและเป็
นส่
วนหนึ่
งของความจริ
ง บางครั้
งภาษาก็
บิ
ดเบื
อนและบางครั้
ง
ก็
เป็
นผู้
ควบคุ
มกฎ ดั
งนั้
น ความส�
ำคั
ญของมนุ
ษย์
ในฐานะผู้
ศึ
กษาตามแนวทางนี้
จึ
ง
ค่
อยลดความส�
ำคั
ญลง เดิ
มมองว่
าผู้
ศึ
กษามี
ฐานะเป็
นผู้
สั
งเกตการณ์
ผู้
ตี
ความ หรื
อ
ไม่ก็เป็
นผู้กระท�ำ/ผู้
เขียนเรื่องราวของตัวเองโดยเอาระบบความคิดบางอย่
างมาใช้
ก็
กลายมาเป็
นการมองมนุ
ษย์
ที่
เป็
นผู้
ศึ
กษาว่
าเป็
นเพี
ยงร่
างทรงของภาษาที่
ใช้
ในการ
เขี
ยนเท่
านั้
น นั่
นคื
อเขาไม่
ได้
เขี
ยน แต่
ภาษาเขี
ยนผ่
านตั
วเขาไป ปั
จจุ
บั
นมี
การน�
ำเอา
ทฤษฎีหรือวิธีการศึกษาตามแนวทางภาษาศาสตร์มาปรับใช้ศึกษากับหลายสาขา
วิ
ชา โดยเฉพาะอย่างยิ่
งสาขาประวั
ติ
ศาสตร์และมานุ
ษยวิ
ทยา
นอกจากนี้
แนวทางการศึ
กษาปรากฏการณ์นิ
ยม (phenomenology) ได้เป็น
ที่
นิ
ยมในการศึ
กษาปรากฏการณ์
ทางสั
งคมและวั
ฒนธรรม เนื่
องจากยั
งมี
ฐานคิ
ด
ประจั
กษ์
นิ
ยมเช่
นกั
น แต่
สลั
ดวิ
ธี
คิ
ดแบบเดิ
ม โดยจะให้
ความส�ำคั
ญของข้
อมูลที่
เป็นความรู้สึกนึ
กคิด พฤติกรรมของมนุษย์ และการให้ความหมายที่มนุษย์ให้ต่อ
ปรากฏการณ์ทางสั
งคมและวั
ฒนธรรม จึ
งเน้นวิ
ธี
การศึ
กษาเชิ
งคุ
ณภาพ
ที่
กล่
าวมาเป็
นภาพรวมการเคลื่
อนตั
วทางวิ
ชาการ ซึ่
งดูคล้
ายกั
บว่
าเป็
นความ
หมกมุ่นในทางวิ
ชาการในช่วง 100 ปีที่
ผ่านมาซึ่
งวนเวี
ยนอยู่แต่กั
บเรื่
องราวสถานะ
ของผู้
ศึ
กษากั
บภาษา เนื่
องจากบรรดานั
กคิ
ดและนั
กวิ
ชาการมี
ฐานะเป็
นผู้
ศึ
กษา
ที่ไม่สามารถท�
ำสิ่งอื่นใดได้นอกจากการเขียนงานวิจัย จึงไม่แปลกใจที่ข้อถกเถียง
เหล่
านี้
จึ
งล้
วนเกิ
ดขึ้
นในหมู่
นั
กวิ
ชาการเท่
านั้
นโดยที่
ไม่
เกี่
ยวข้
องกั
บตั
วผู้
ถูกศึ
กษาหรื
อ