

ระหว่างพุทธศักราช ๒๕๐๓ - ๒๕๑๐ เสด็จฯ เยือนมิตรประเทศในเอเชีย
ยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย จ�ำนวน ๑๔ ประเทศ เป็นการเจริญทางพระราชไมตรี
สร้างชื่อเสียงให้ประเทศเป็นที่รู้จักในสังคมโลก เพราะมีพระประมุขที่ทรงพระปรีชา
สามารถในวิชาการ ศิลปวัฒนธรรม และองอาจกล้าหาญ สิ่งส�ำคัญทรงมุ่งหวังที่จะ
แสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากประเทศที่เจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เพื่อน�ำมาประยุกต์ให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมของประเทศไทย เช่น การได้รับความ
ร่วมมือจากประเทศเดนมาร์ก ในด้านผลิตฟาร์มโคนม เป็นต้น
ระหว่างพุทธศักราช ๒๕๑๐ - ๒๕๓๐ เสด็จพระราชด�ำเนินไปทรงเป็น
ก�ำลังใจ แก่ทหารหาญและเยี่ยมพสกนิกรในพื้นที่ชายแดนที่ประสบภัยคุกคามจาก
ลัทธิคอมมิวนิสต์ ในฐานะทรงด�ำรงต�ำแหน่งจอมทัพไทย ทรงเยี่ยมบ�ำรุงขวัญทหาร
ต�ำรวจ ในพื้นที่สู้รบถึงฐานปฏิบัติการทั่วทุกพื้นที่ โดยมิทรงหวั่นเกรงภยันตรายใดๆ
พระราชทานแนวทางให้ปฏิบัติด้วยสันติวิธี ทรงน�ำโครงการอันเนื่องมาจาก
พระราชด�ำริเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนา ให้ชายแดนเป็นรั้ว ด้านในเป็นศูนย์พัฒนา
เป็นแหล่งเรียนรู้ในการประกอบอาชีพ เป็นผลให้บ้านเมืองกลับคืนสู่ความสงบ
ด้านเกษตรกรรม
ทรงคิดค้นทางเลือกใหม่ให้แก่เกษตรกรเพื่อพึ่งพา
ตนเอง อย่างเข้มแข็ง เรียกว่า “เกษตรทฤษฎีใหม่” ด้วยแนวพระราชด�ำริใช้ที่ดินให้
ได้ประโยชน์สูงสุด
พุทธศักราช ๒๕๔๐ ประเทศไทยประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต�่ำ
ได้พระราชทานหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy) ทรงวาง
แนวทางการด�ำเนินชีวิตให้ราษฎร เป็นผลให้เกิดการพัฒนาสังคมและทรัพยากรบุคคล
อย่างมั่นคง ยั่งยืน
ด้านการศึกษา
ทรงมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพชีวิตราษฎร ซึ่งเป็นทรัพยากรของ
ประเทศทุกๆ ระดับ มีพระราชด�ำริส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาทุกสาขาแก่เยาวชน
และประชาชนอย่างทั่วถึง การศึกษาในระบบโรงเรียนทั่วประเทศตั้งแต่ในเมืองไปถึง
ถิ่นทุรกันดาร เช่น โรงเรียนจิตรลดา ในภูมิภาค เช่น โรงเรียนเจ้าพ่อหลวงอุปถัมภ์
โรงเรียนร่มเกล้า โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ฯลฯ จัดโครงการศึกษาทางไกลผ่าน
ดาวเทียม เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนครูและเพิ่มแหล่งศึกษาให้เยาวชนในถิ่นทุรกันดาร
มีโอกาสเล่าเรียนได้อย่างต่อเนื่อง การศึกษานอกระบบ ได้แก่ โรงเรียนพระดาบส และ
27