บทที่ 4
สาวย่านพลังทางวัฒนธรรมในการพัฒนา
นิ
ทั
ศ ไหมจุ
้
ย
4.1 บทน�ำ
การพั
ฒนาประเทศที่
ผ่
านมามุ
่
งเน้
นการพั
ฒนาด้
านเศรษฐกิ
จ และ
อุ
ตสาหกรรม ซึ่
งผูกยึ
ดอยู่กั
บระบบทุ
นนิ
ยม แม้ว่าผลของการพั
ฒนาจะสร้างความ
เจริญรุ่งเรืองในด้านสาธารณูปโภค การค้า การลงทุน และความสัมพันธ์ระหว่าง
ประเทศ แต่
ก็
ส่
งผลกระทบเลวร้
ายต่
อสภาพแวดล้
อมและทรั
พยากรธรรมชาติ
ทุ
นทางสั
งคม ทุ
นทรั
พยากร โดยเฉพาะทรั
พยากรบุ
คคลซึ่
งถื
อเป็นทุ
นหลั
กของการ
พั
ฒนาประเทศ จึ
งเกิ
ดค�
ำถามตามมาว่
า การพั
ฒนาที่
ผ่
านมาพั
ฒนาประเทศได้
จริ
งหรื
อ ?
สภาพปั
ญหาที่
ตามมาภายหลั
งจากน�
ำแผนพั
ฒนาเศรษฐกิ
จและสั
งคมมาใช้
ในการพั
ฒนาประเทศ ท�
ำให้นั
กวิ
ชาการหลายท่านได้น�ำแนวคิ
ดการพั
ฒนารูปแบบ
ใหม่
ที่
มุ่
งน�
ำวั
ฒนธรรมมาใช้
ในการพั
ฒนาประเทศ แต่
ก็
ไม่
ประสบความส�
ำเร็
จเท่
าที่
ควร ภายหลั
งประเทศไทยประสบปั
ญหาวิ
กฤตเศรษฐกิ
จ “ต้
มย�
ำกุ้
ง” ในปี
พ.ศ.2540
ทฤษฎี
นี้
จึ
งถูกน�
ำมาขั
ดเงาหยิ
บใช้
กั
นอย่
างกว้
างขวางในเวลาต่
อมา นั
กพั
ฒนาเอกชน
และปั
ญญาชนที่
น�
ำทฤษฎี
นี้
มาใช้
และเป็
นที่
รู้
จั
กในแวดวงวิ
ชาการ ได้
แก่
บาทหลวง
นิ
พจน์
เที
ยนวิ
หาร บ�ำรุ
ง บุ
ญปั
ญญา อภิ
ชาต ทองอยู่
และนายแพทย์
ประเวศ วะสี
บุ
คคลเหล่
านี้
เล็
งเห็
นว่
าการพั
ฒนาประเทศที่
ถูกทางจะต้
องใช้
วั
ฒนธรรมเป็
นฐานใน