Page 88 - dcp7

Basic HTML Version

77
สื่
อสารต่
อผู้
ชมได้
ชั
ดเจนขึ้
นตั
วอย่
างเพลงบรรเลงที่
น่
าสนใจอาทิ
เพลงเสมอมอญ เพลงเสมอพม่
าเพลงเสมอลาว เพลง
โอดจี
น เพลงรั
วมอญแบบละครพั
นทาง เพลงเชิ
ดแขก เพลงเชิ
ดพม่
าฯลฯผู้
ประพั
นธ์
เพลงละครพั
นทางที่
ปรากฏชื่
อใน
อดี
ตอาทิ
หม่
อมหลวงต่
วนศรี
วรวรรณ ครู
มนตรี
ตราโมท ผู้
ประพั
นธ์
เพลงละครพั
นทางยุ
คปั
จจุ
บั
นอาทิ
ครู
ชไชยยะ ทาง
มี
ศรี
ครู
สมชาย ทั
บพร
ความคิ
ดสร้
างสรรค์
ในการผสมผสานเครื่
องดนตรี
และเพลงสำ
�เนี
ยงต่
างๆเข้
าไปในการแสดงละครพั
นทางมี
ความสั
มพั
นธ์
กั
บพั
ฒนาการของการละเล่
นสิ
บสองภาษาที
กลายมาเป็
นปี่
พาทย์
ออกภาษานั
กดนตรี
ไทยได้
นำ
�บทร้
อง
จากละครพั
นทางมาใช้
เป็
นเนื้
อร้
องในการขั
บร้
องเพลงภาษา อาทิ
เพลงออกภาษาเขมร กล่
าวถึ
งเจ้
ากรุ
งกั
มพู
ชาได้
รั
บสาส์
นจากนางละเวงวั
ลลาให้
นำ
�ทั
พไปรบกั
บพระอภั
ยขั
บร้
องด้
วยเพลงเขมรอมตุ๊
ก สอดแทรกเนื้
อภาษาเขมรเพลง
ออกภาษาลาวนำ
�เนื้
อร้
องบทที่
พระลอเกิ
ดความคลุ้
มคลั่
งพระทั
ยใคร่
จะออกเดิ
นทางไปตามหาพระเพื่
อนพระแพง
ขั
บร้
องด้
วยเพลงลาวเฉี
ยงสอดแทรกบทละเล่
นของเด็
กเพลงออกภาษามอญกล่
าวถึ
งกองทั
พมอญแปลงของพลายชุ
มพล
เตรี
ยมยกทั
พไปรบกั
บพระไวยใช้
เพลงพญาลำ
�พองออกเนื้
อภาษามอญฯลฯ
ระบบเสี
ยงและระบบจั
งหวะในเพลงดนตรี
ละครพั
นทาง มี
ความหลากหลาย พลิ
กผั
นไปตามเนื้
อหาวรรณกรรม
ที่
นำ
�มาแสดง เครื่
องดนตรี
ที่
นำ
�มาใช้
ความสามารถในการขั
บร้
องประดิ
ษฐ์
เสี
ยง แม้
แต่
ความเหมาะสมของการแสดง
นั้
นๆไม่
อาจระบุ
ทฤษฎี
ได้
ชั
ดเจนเหมื
อนกั
บการบรรเลงขั
บร้
องในโขน หนั
งใหญ่
ละครใน ละครดึ
กดำ
�บรรพ์
ละครเสภา
หรื
อแม้
แต่
การชี้
ชั
ดว่
าความช้
าเร็
วดั
งเบาในการแสดงออก ซึ่
งสะท้
อนความเป็
นศิ
ลปะที่
มี
เสรี
ภาพมาก ไม่
จำ
�เป็
นต้
อง
จั
ดวางกรอบตายตั
ว ถื
อเป็
นสุ
นทรี
ยะทางเลื
อกที่
น่
าสนใจอย่
างหนึ่
งของโลกการแสดง
เนื้
อหาวรรณคดี
ที่
ปรากฏอยู่
ในบทขั
บร้
องจำ
�นวนมากที่
ใช้
ในบทละครพั
นทางต้
นฉบั
บ ได้
ถู
กนั
กแต่
งเพลงไทย
นำ
�มาคั
ดสรร ผลิ
ตซํ้
าและปรั
บปรุ
งใหม่
กลายมาเป็
นบทขั
บร้
องในเพลงเถาเพลงตั
บสำ
�เนี
ยงภาษาที่
ประพั
นธ์
ขึ้
นใหม่
อาทิ
เพลงตั
บลาวเจริ
ญศรี
เพลงตั
บพระลอชมสวน บทร้
องเพลงลาวเสี่
ยงเที
ยนเถา บทร้
องเพลงลาวกระแซเถา บทร้
อง
เพลงพม่
าเห่
เถา บทร้
องเพลงยอเรเถา เพลงเดี่
ยวลาวแพน ฯลฯ บทเพลงเหล่
านี้
แม้
จะมี
รากฐานมาจากเพลงในละคร
พั
นทางแต่
ก็
ได้
ถู
กนำ
�มาบรรเลงขั
บร้
องในบริ
บทและโอกาสที่
เป็
นอิ
สระออกไป กลายเป็
นเพลงที่
นิ
ยมใช้
ในการขั
บกล่
อม
มากกว่
าเพลงเพื่
อพิ
ธี
กรรมหรื
อเพลงประกอบการแสดงละครพั
นทาง
ในปั
จจุ
บั
นมี
การทดลองสร้
างเพลงละครพั
นทางขึ้
นมาใหม่
โดยเฉพาะเพลงในละครเรื่
องผู้
ชนะสิ
บทิ
ศของ
กรมศิ
ลปากรซึ่
งพั
ฒนาแนวทางการแสดงและเกิ
ดเพลงบรรเลง-ขั
บร้
องจำ
�นวนมากขึ้
นมาในช่
วงยี่
สิ
บปี
นี้
หากแต่
ยั
งไม่
ได้
แพร่
หลายเท่
าที่
ควรคงมี
ใช้
อยู่
ในโอกาสของการแสดงของกรมศิ
ลปากรเท่
านั้
นหรื
อย้
อนหลั
งไปก่
อนหน้
านี้
ราว สี่
สิ
บถึ
ห้
าสิ
บปี
ที่
แล้
วเพลงละครพั
นทางก็
ถู
กนำ
�ไปใช้
ในเชิ
งประยุ
กต์
โดยศิ
ลปิ
นลิ
เกหลายคณะ อาทิ
คณะหอมหวลนาคศิ
ริ
ลิ
เก
คณะเกตุ
คงดำ
�รงศิ
ลป์
นำ
�เรื่
องราชาธิ
ราชเรื่
องผู้
ชนะสิ
บทิ
ศเรื่
องพระอภั
ยมณี
เรื่
องพระลอเรื่
องขุ
นช้
างขุ
นแผนมาแสดง
ในรู
ปแบบของลิ
เกมี
เพลงออกภาษาจำ
�นวนมากที่
เกิ
ดจากมั
นสมองของศิ
ลปิ
นลิ
เกที่
แตกแขนงความรู้
เพลงละครพั
นทาง
ออกไป อาทิ
ครู
บุ
ญยงค์
เกตุ
คง บุ
ญสม มี
สมวงศ์
(พรภิ
รมย์
) หลายเพลงยั
งใช้
ในวงการปี่
พาทย์
มอญ เช่
น ดาวตะเลง
ฟ้
อนเมื
องและถู
กนำ
�ไปใช้
ในวงการเพลงลู
กทุ่
งด้
วยเพลงลิ
เกเหล่
านี้
แม้
จะไม่
มี
ชื่
อเรี
ยกที่
ชั
ดเจนว่
าควรเป็
นเพลง ภาษา