Page 103 - dcp4

Basic HTML Version

92
น่
านว่
า ถ้
าผู้
ใดขโมยเรื
อของผู้
อื่
นไปหากถู
กจั
บได้
จะต้
องเสี
ยค่
าปรั
บ ๑๑๐ นํ้
าผ่
า (มาตราเงิ
นสมั
ยโบราณ)แต่
ถ้
าเรื
อที่
ขโมยไปเกิ
ดความเสี
ยหายก็
ให้
จ่
ายค่
าเสี
ยหายตามราคาจริ
งของเรื
อและถู
กปรั
บอี
ก ๑๑๐ นํ้
าผ่
า ถ้
ามี
ความจำ
�เป็
นต้
อง
ใช้
เรื
อจริ
งๆ ก็
ให้
เช่
าหรื
อยื
มจากเจ้
าของให้
ถู
กต้
องเสี
ยก่
อน ในกฎหมายยั
งบั
ญญั
ติ
อี
กว่
าถ้
าหากเรื
อของผู
ใดหลุ
ดไหลไป
ตามนํ้
าถ้
ามี
ผู้
เก็
บได้
จะต้
องให้
รางวั
ลแก่
ผู้
นั้
นตามระยะทางที่
เรื
อไหลไป เช่
น ถ้
าเรื
อไหลจากท่
าเวี
ยงไปถึ
งเมื
องสา
ให้
จ่
าย ๕๐ ธ็
อก (มาตราเงิ
นสมั
ยโบราณ) ถ้
าผู้
เก็
บได้
หมายจะครอบครองไว้
เสี
ยเอง ถ้
ารู้
ภายหลั
งก็
จะต้
องเสี
ยเงิ
นให้
แก่
เจ้
าของเรื
อ ๒๒๐ นํ้
าผ่
า แต่
ถ้
าเจ้
าของเรื
อไปเอาโดยพลการโดยไม่
แจ้
งผู้
เก็
บได้
เสี
ยก่
อน เจ้
าของเรื
อก็
ต้
องเสี
ยค่
าปรั
ให้
แก่
ผู้
เก็
บได้
๕๒ นํ้
าผ่
า จะเห็
นได้
ว่
าอาณาจั
กรหลั
กคำ
�ได้
ให้
ความเป็
นธรรมแก่
ราษฎรอย่
างเสมอหน้
จากการที่
ชาวน่
านใช้
เรื
อเป็
นหลั
ก จึ
งก่
อให้
เกิ
ดประเพณี
แข่
งเรื
อที่
สั
นนิ
ษฐานว่
าน่
าจะมี
มาไม่
ตํ่
ากว่
า ๒๐๐ ปี
ดั
งปรากฏหลั
กฐานเป็
นเรื
อขุ
ดโบราณที่
พบในเมื
องน่
าน เช่
น เรื
อเสื
อเฒ่
าท่
าล้
อ ที่
ขุ
ดเมื่
อ พ.ศ.๒๓๕๙ ปั
จจุ
บั
นก็
มี
อายุ
ถึ
ง ๑๙๗ ปี
และที่
สำ
�คั
ญเรื
อเหล่
านั้
นต่
างมี
เอกลั
กษณ์
โดดเด่
นคื
อการประดั
บส่
วนหั
วเรื
อเป็
นรู
ปพญานาคทั้
งสิ้
น ดั
งนั้
เรื
อจึ
งมิ
ใช่
เป็
นเพี
ยงพาหนะเพื่
อการคมนาคมเท่
านั้
น หากแต่
ยั
งเกี่
ยวข้
องกั
บพิ
ธี
กรรมโดยเฉพาะพิ
ธี
กรรมแห่
งความ
อุ
ดมสมบู
รณ์
ผ่
านประเพณี
แข่
งเรื
อ ชาวน่
านเชื่
อกั
นว่
าเมื่
อใดที่
มี
การแข่
งเรื
อที่
เป็
นรู
ปพญานาคนี้
แล้
วจะทำ
�ให้
เกิ
ฝนตก เพราะเปรี
ยบเสมื
อนการนำ
�นาคลงเล่
นนํ้
า จึ
งเปรี
ยบเสมื
อนการ “ขอฝน”
การแข่
งเรื
อของเมื
องน่
านเท่
าที่
มี
การสื
บพบจะจั
ดขึ้
นหลั
งจากออกพรรษา พร้
อมประเพณี
ตานก๋
วยสลาก (ถวาย
ทานสลากภั
ต) ที่
ชาวบ้
านแต่
ละหมู่
บ้
านจั
ดเตรี
ยมของไปร่
วมประเพณี
ตานก๋
วยสลาก และเกิ
ดการแข่
งขั
นพานเรื
เพื่
อความสามั
คคี
และสนุ
กสนาน ต่
อมาภายหลั
งทางราชการจึ
งเริ่
มมี
การจั
ดการแข่
งขั
นเป็
นการเฉพาะกิ
จ หลั
งจากที่
พระเจ้
าสุ
ริ
ยพงษ์
ผริ
ตเดชฯ ได้
โปรดให้
มี
การแข่
งขั
นเรื
อขึ้
นในเดื
อนพฤษภาคม พ.ศ.๒๔๖๐ เพื่
อต้
อนรั
บสมเด็
จเจ้
าฟ้
กรมพระนครสวรรค์
วรพิ
นิ
ต เมื่
อคราวเสด็
จมาตรวจราชการที่
เมื
องน่
าน หลั
งจากนั้
นข้
าหลวงและข้
าราชการที่
มาประจำ
ที่
เมื
องน่
าน ก็
ได้
ส่
งเสริ
มประเพณี
แข่
งเรื
อของเมื
องน่
านมาโดยลำ
�ดั
บ ซึ่
งการจั
ดให้
มี
การแข่
งเรื
อประเพณี
เพื่
อเป็
นการ
เฉลิ
มฉลองและเป็
นประเพณี
สื
บต่
อกั
นมาทุ
กปี
เริ่
มต้
นในปี
พ.ศ.๒๔๖๗ ในสมั
ยของพระยาวรวิ
ชั
ยวุ
ฒิ
กร (เลื่
อนสนธิ
รั
ตน์
)
ปลั
ดมณฑลประจำ
�จั
งหวั
ดน่
าน ได้
ริ
เริ่
มให้
มี
การทอดกฐิ
นสามั
คคี
ของจั
งหวั
ดน่
านขึ้
นอย่
างเป็
นทางการต่
อมาประเพณี
แข่
งเรื
อจึ
งค่
อยพั
ฒนาเป็
นลำ
�ดั
บ ดั
งเช่
น พ.ศ.๒๔๗๙ พระเกษตรสรรพกิ
จ (นุ่
น วรรณโกมล) ข้
าหลวงประจำ
�จั
งหวั
น่
าน ได้
จั
ดให้
มี
กฎกติ
กาการแข่
งขั
นเรื
อขึ้
นเป็
นครั้
งแรก เป็
นกติ
กาง่
ายๆ เช่
น มี
จุ
ดปล่
อยและเส้
นชั
ยส่
วนรางวั
ลก็
มี
ธง
(ช่
อ) ปั
กหั
วเรื
อ มอบให้
เรื
อที่
ได้
รั
บรางวั
ลที่
๑ ต่
อมาเมื่
อ พ.ศ.๒๔๙๘ นายมานิ
ต บุ
รณพรรคผู้
ว่
าราชการจั
งหวั
ดน่
าน
ได้
จั
ดให้
องค์
การดุ
ริ
ยางค์
นาฏศิ
ลป์
กรมศิ
ลปากร มาถ่
ายทำ
�ภาพยนตร์
สารคดี
เพื่
อเป็
นหลั
กฐานทางด้
านมนุ
ษยชาติ
วั
ฒนธรรม ประเพณี
พื้
นบ้
าน
หลั
งจากนั้
นการแข่
งเรื
อเมื
องน่
าน ได้
ไปสั
มพั
นธ์
กั
บการทอด “กฐิ
นหลวง” เมื่
อหลวงอนุ
มั
ติ
ราชกิ
จ (อั๋
น อนุ
มั
ติ
ราชกิ
จ) ผู้
ว่
าราชการจั
งหวั
ดน่
าน ได้
ขอพระราชทานผ้
าพระกฐิ
นพระราชทานนำ
�ไปทอด ณ วั
ดพระธาตุ
ช้
างคํ้
าวรวิ
หาร
การแข่
งเรื
อประเพณี
ในปี
นั้
นจึ
งเป็
นการแข่
งเรื
อกฐิ
นพระราชทานตั้
งแต่
ปี
พ.ศ.๒๕๐๓ และมี
พั
ฒนาการในการจั
ดการ
แข่
งขั
นต่
อมา ดั
งในปี
พ.ศ.๒๕๒๒ พั
นโทนายแพทย์
อุ
ดม เพชรศิ
ริ
ผู้
ว่
าราชการจั
งหวั
ดน่
าน ได้
กำ
�หนดให้
มี
การแข่
งเรื