Page 87 - dcp2

Basic HTML Version

76
...ถนนย่
านท่
าทราย มี
ร้
านชำ
� ขายยา ผ้
าสมปั
กเชิ
งปู
ม* ผ้
าลายกุ
ศราช ยํ่
ามะหวาด สมปั
กเชิ
ง สมปั
กล่
องจวน สมปั
กริ้
และผ้
ากราบใหญ่
น้
อย...” (หน้
า ๑๙๔) ริ
มแม่
นํ้
าเจ้
าพระยาทั้
งสองฟากก็
มี
ย่
านการค้
าต่
างๆ เช่
น บ้
านศาลาเกวี
ยน
ใกล้
แม่
นํ้
าป่
าสั
กตั้
งอยู่
ทางทิ
ศตะวั
นออกเฉี
ยงเหนื
อของพระนคร ในเดื
อน ๓ เดื
อน ๔ จะเต็
มไปด้
วยเกวี
ยนที่
นำ
�สิ
นค้
าจาก
เมื
องโคราช และพระตะบองมาขาย สิ
นค้
าสิ่
งทอที่
นำ
�มาจากโคราชมี
“...ผ้
าตะราง ผ้
าสายบั
วสี่
คื
บหน้
าเก็
บทอง ผ้
าตาบั
ปอกตาเล็
ดงา และไหม ...”
ส่
วนสิ่
งทอที่
มาจาก เกวี
ยนเมื
องพระตะบอง มี
“...ไหม...ผ้
าปู
ม แพรญวณ...”
(หน้
า ๑๗๗)
บ้
านริ
มวั
ดลอดช่
อง พวกแขกตานี
ทอผ้
าไหมผ้
าด้
ายเป็
นผ้
าพื้
น ผ้
าม่
วงเกลี้
ยงม่
วงดอกขาย
(หน้
า ๑๘๐) แสดงว่
าโคราชและ
พระตะบองเป็
นแหล่
งผลิ
ตผ้
าพื้
นเมื
องและเส้
นไหมที่
สำ
�คั
ญมาแต่
โบราณ โดยมี
แขกปั
ตตานี
เป็
นช่
างทอผ้
าไหมและผ้
าพื้
ขายให้
ชาวอยุ
ธยา
ในสมั
ยรั
ชกาลที่
๕ เป็
นยุ
คแห่
งการทำ
�นุ
บำ
�รุ
งการทำ
�ไหม ทรงพระกรุ
ณาโปรดเกล้
าฯ ตั้
กรมช่
างไหม
ขึ้
น สั
งกั
ดอยู่
ใน
กระทรวงเกษตราธิ
การเมื่
อ พ.ศ. ๒๔๔๖ แต่
ก่
อนที่
จะมี
การตั้
งกรมช่
างไหมนั้
น พระยาเทเวศวงศวิ
วั
ฒน์
(ม.ร.ว.หลาน กุ
ญชร)
เสนาบดี
กระทรวงเกษตราธิ
การได้
จ้
างผู้
เชี่
ยวชาญญี่
ปุ่
น ศาสตราจารย์
คามี
โทโร ทายามา (Kametoro Tayama) เข้
ามา
ทดลองปลู
กหม่
อนเลี้
ยงไหมที่
บริ
เวณทุ่
งศาลาแดง และได้
ฝึ
กหั
ดข้
าหลวงในสมเด็
จพระศรี
สวริ
นทิ
ราฯ ให้
ใช้
เครื่
องสาวไหม
แบบญี่
ปุ่
น คื
อ ชนิ
ดหมุ
นด้
วยมื
อและแบบใช้
เท้
าเหยี
ยบ ในปี
พ.ศ. ๒๔๔๗ ได้
ตั้
งโรงเรี
ยนช่
างไหมที่
ศาลาแดงก่
อนจะขยาย
สาขากรมช่
างเลี้
ยงไหมไปสู่
หั
วเมื
องในภาคอี
สาน โดยเฉพาะที่
มณฑลนครราชสี
มา เพื่
อจั
ดการบำ
�รุ
งพั
นธุ์
ไหมที
เลี้
ยงอยู่
แล้
ให้
มี
คุ
ณภาพดี
ขึ้
น มี
การแจกพั
นธุ์
ไหมให้
ราษฎรชาวพุ
ทไธสงและชาวรั
ตนบุ
รี
เมื่
อ พ.ศ. ๒๔๕๒ และฝึ
กหั
ดราษฎรให้
เรี
ยนรู้
การทอผ้
าชนิ
ดต่
างๆ ซึ่
งต่
อมาก็
ขยายกิ
จการไปยั
งเมื
องบุ
รี
รั
มย์
สุ
ริ
นทร์
ร้
อยเอ็
ด เมื
องชั
ยภู
มิ
และเมื
องจตุ
รั
ส หลั
งจากนั้
ไม่
นานรั
ฐบาลก็
ขาดงบประมาณที่
จะทะนุ
บำ
�รุ
งส่
งเสริ
ม การเลี้
ยงไหมจึ
งยกเลิ
กกรมช่
างไหมไปเมื่
อ พ.ศ. ๒๔๕๕ แต่
ชาวบ้
าน
ในภาคอี
สานก็
ยั
งเลี้
ยงไหมและทอผ้
าไหม เพื่
อใช้
เองในครั
วเรื
อน
หลั
งสงครามมหาเอเชี
ยบู
รพาเกิ
ดขาดแคลนเสื้
อผ้
าขึ้
นในประเทศ รั
ฐบาลไทยในสมั
ยนั้
นได้
ให้
กระทรวงเศรษฐการตั้
โรงสาวไหม
ที่
จั
งหวั
ดนครราชสี
มาเมื่
อ พ.ศ. ๒๔๘๖ แต่
โรงงานมี
ปั
ญหาเนื่
องจากเครื่
องสาวไหม ที่
สั่
งมาจากประเทศอิ
ตาลี
ไม่
เหมาะกั
บเส้
นไหมพื้
นเมื
องและชาวบ้
านไม่
มี
ความชำ
�นาญในการเลี้
ยงไหมพั
นธุ์
ที่
สั่
งมาจากต่
างประเทศจึ
งหยุ
ดกิ
จการไป
ใน พ.ศ. ๒๔๙๘
ในรั
ชสมั
ยพระบาทสมเด็
จพระเจ้
าอยู่
หั
วภู
มิ
พลอดุ
ลยเดช รั
ชกาลที่
๙ ผ้
าไหมมั
ดหมี่
จากภาคอี
สานกลายเป็
ศิ
ลปหั
ตถกรรมที่
แพร่
หลายและมี
ชื่
อเสี
ยงไปทั่
วโลกสื
บเนื่
องมาจากพระวิ
จารณญาณอั
นลึ
กซึ้
งของสมเด็
จพระนางเจ้
าสิ
ริ
กิ
ตติ์
พระบรมราชิ
นี
นาถที
ทรงจั
ดตั
โครงการศิ
ลปาชี
พและศู
นย์
ศิ
ลปาชี
ดำ
�เนิ
นงานภายใต้
มู
ลนิ
ธิ
ศิ
ลปาชี
พในสมเด็
จพระนางเจ้
าสิ
ริ
กิ
ต์
*
ผ้
าสมปั
หรื
อ ผ้
าสองปั
ก (ภาษาเขมร อ่
านว่
า ซอมป็
วต แปลว่
า ผ้
านุ่
งทอ) เป็
นวิ
ธี
การทอแบบดั้
งเดิ
มที่
ยั
งใช้
อยู่
ในสั
งคมของชาวไทยเขมร
ในอี
สานใต้
และชาวเขมรแถบพระตะบองในกั
มพู
ชา เป็
นการมั
ดย้
อมเส้
นพุ
ง เพื่
อสร้
างลวดลายและทอด้
วยเส้
นไหมตั้
งแต่
๓ ตะกอขึ้
นไป
ท�
ำให้
ได้
ผ้
าเนื้
อแน่
น สี
ผ้
าด้
านหนึ่
งมี
สี
เข้
มกว่
าอี
กด้
านหนึ่
ง เรี
ยกว่
ผ้
าปู
มเขมร
ผ้
าปู
มเขมรนั้
นราชส�
ำนั
กอยุ
ธยาได้
น�
ำมาสร้
างลวดลายเฉพาะ
และสงวนไว้
ส�
ำหรั
บใช้
เป็
นสมปั
กยศพระราชทานแก่
ขุ
นนางเรื่
อยมา จนถึ
งสมั
ยรั
ชกาลพระบาทสมเด็
จพระจุ
ลจอมเกล้
าเจ้
าอยู
หั
วรั
ชกาลที่
จึ
งได้
ยกเลิ
กผ้
าสมปั
กปู
มเปลี่
ยนมาใช้
ผ้
าม่
วงแทน