Page 28 - dcp2

Basic HTML Version

17
มะพร้
าวพั
นธุ์
เศรษฐกิ
จที่
เพาะปลู
กในประเทศไทยแบ่
งออกได้
เป็
น ๒ สายพั
นธุ์
คื
อ พั
นธุ์
ต้
นสู
งและพั
นธุ์
ต้
นเตี้
พั
นธุ์
ต้
นสู
หรื
มะพร้
าวแกง
เป็
นพั
นธุ์
ต้
นสู
งใหญ่
มี
อายุ
ยื
นถึ
ง ๑๐๐ ปี
มี
ผลกลมขนาดใหญ่
เปลื
อกหนา นิ
ยมปลู
กกั
นมาก
ในภาคใต้
ของประเทศ ส่
วน
พั
นธุ์
ต้
นเตี้
มี
ลำ
�ต้
นขนาดเล็
กเตี้
ยสั้
น มี
อายุ
ประมาณ ๔๐ ปี
เป็
นพั
นธุ์
ที่
พั
ฒนามาจากมะพร้
าว
พื้
นเมื
อง
พั
นธุ์
หมู
สี
ซึ่
งนิ
ยมปลู
กในพื้
นที่
ภาคกลางบริ
เวณลุ่
มนํ้
าแม่
กลอง ท่
าจี
น บางปะกง โดยเพาะปลู
กในระบบสวนใน
พื้
นที่
จั
งหวั
ดราชบุ
รี
สมุ
ทรสาคร และสมุ
ทรสงคราม มะพร้
าวพั
นธุ์
ต้
นเตี้
ยเป็
นพั
นธุ์
ที่
ชาวสวนนิ
ยมนำ
�มาทำ
�นํ้
าตาลมะพร้
าว
มะพร้
าวที่
เหมาะสมสำ
�หรั
บทำ
�นํ้
าตาลควรออกจั่
นประมาณ ๑๒ – ๑๔ จั่
นต่
อปี
จั่
นจะออกมากในเดื
อนพฤษภาคม
ถึ
งเดื
อนกรกฎาคมเนื่
องจากระยะนี้
มะพร้
าวได้
นํ้
าฝน การออกจั่
นมะพร้
าวครั้
งแรกชาวสวนบางรายจะยั
งไม่
ทำ
�นํ้
าตาล
แต่
จะเริ่
มทำ
�นํ้
าตาลในจั่
นต่
อไป เนื่
องจากมี
ความเชื่
อว่
าจั่
นแรกของต้
นจะให้
นํ้
าตาลน้
อย จั่
นที่
จะนำ
�มาใช้
จึ
งต้
องไม่
อ่
อนหรื
แก่
เกิ
นไป
การทำ
�นํ้
าตาลจากมะพร้
าวเป็
นภู
มิ
ปั
ญญาของชาวสวนมะพร้
าว หากเป็
นมะพร้
าวต้
นสู
งก็
จะใช้
พะอง (ไม้
ไผ่
ทั้
งลำ
�ตั
ให้
มี
ตาติ
ดอยู่
กั
บต้
นพอเอาเท้
ายื
นเหยี
ยบได้
) พาดผู
กติ
ดกั
บต้
นแล้
วขึ้
นไปตรวจดู
จั่
นมะพร้
าว ถ้
าจั่
นใดดี
พอจะทำ
�นํ้
าตาลได้
ก็
ตั
ดปลายจั่
นออกประมาณ ๓-๔ นิ้
ว แล้
วเอาเชื
อกผู
กโน้
มให้
เอนตํ่
าลงที
ละน้
อยระวั
งมิ
ให้
จั่
นหั
กใช้
เวลา ๓-๕ วั
น จะเอนตํ่
๖๐-๘๐ องศา การโน้
มจั่
นลงนั้
นเพื่
อให้
ได้
นํ้
าตาลสดปริ
มาณมาก จากนั้
นจึ
งปอกเปลื
อกที่
หุ้
มจั่
นออกแล้
วเอาเชื
อกมั
ดเป็
เปลาะๆเพื่
อไม่
ให้
จั่
นแตกกระจายออกไป เอามี
ดปาดปลายจั่
นทั้
งเช้
าเย็
นทุ
กวั
น เมื่
อเห็
นนํ้
าตาลออกดี
แล้
วจึ
งเอากระบอก
ไม้
ไผ่
ไปรอง
สมั
ยก่
อนใช้
กระบอกไม้
ไผ่
สี
สุ
กยาว ๑ ศอกรองนํ้
าตาลที่
ปากกระบอกเจาะรู
๑ รู
สำ
�หรั
บเอาเชื
อกผู
กร้
อยไว้
เรี
ยกว่
“หู
กระบอก”
ใช้
ผู
กโยงกระบอกเวลารองนํ้
าตาล และสะดวกในการร้
อยใส่
คานหาบเอาไปรองนํ้
าตาล ปั
จจุ
บั
นนิ
ยมใช้
กระบอกอะลู
มิ
เนี
ยมหรื
อกระบอกพลาสติ
กแทน
วิ
ธี
รองนํ้
าตาล นิ
ยมนำ
�กระบอกไปรองเวลาเย็
นเพราะนํ้
าตาลจะออกมากกว่
า ซึ่
งชาวบ้
านเรี
ยกนํ้
าตาลช่
วงเย็
นว่
“นํ้
าตาลเที่
ยง”
ในกระบอกใส่
เปลื
อกไม้
ที่
มี
ความฝาด เช่
น พะยอม เคี่
ยม เพื่
อป้
องกั
นนํ้
าตาลบู
ด ทิ้
งไว้
๑ คื
น รุ่
งเช้
าจึ
ขึ้
นไปปลดกระบอก นํ้
าตาลมะพร้
าวที่
รองได้
ไม่
ควรเก็
บไว้
นานเกิ
น ๑๘ ชั่
วโมง การเก็
บนํ้
าตาลจะเก็
บวั
นละ ๒ ครั้
ง คื
อเช้
เวลาประมาณ ๐๕.๓๐–๐๙.๐๐ น. และเย็
นเวลาประมาณ ๑๕.๐๐-๑๘.๐๐ น. หากเก็
บนํ้
าตาลเวลาสาย อากาศจะร้
อน
ทำ
�ให้
นํ้
าตาลเสี
ยได้
ง่
าย เมื่
อได้
นํ้
าตาลมะพร้
าวมาแล้
วอาจมี
แมลงหรื
อดอกมะพร้
าวปนอยู่
ชาวสวนจะนำ
�มากรองด้
วย
ผ้
าขาวบางก่
อนนำ
�ไปตั้
งไฟเคี่
ยว
การเคี่
ยวนํ้
าตาลมะพร้
าวจะเคี่
ยวในกระทะขนาดใหญ่
เคี
ยวจนนํ้
าตาลงวดข้
นเป็
นสี
แดงคลํ้
า เหนี
ยวเป็
นยางจึ
งราไฟ
แล้
วจึ
งยกกระทะลงจากเตาไฟวางบนเสวี
ยน (ทำ
�ด้
วยหญ้
าหวายหรื
อฟางถั
กหรื
อมั
ดเป็
นวงกลมมี
หู
สองข้
างสำ
�หรั
บหิ้
วใช้
รอง
ก้
นภาชนะ) ในอดี
ตจะใช้
พายคนจนนํ้
าตาลแห้
งพอหยดลงหม้
อได้
จึ
งเทใส่
หม้
อหรื
อหยอดใส่
พิ
มพ์
นํ้
าตาลมะพร้
าวที่
มี
คุ
ณภาพดี
รสจะหวานหอม ไม่
เหนี
ยวแข็
ง มี
รสมั
นเล็
กน้
อย ต่
อมาภายหลั
งสงครามโลกครั้
งที่
๒ ได้
มี
การพั
ฒนาจากการใช้
พายมาเป็
นเหล็
กกระแทก หรื
อเรี
ยกว่
า “เหล็
กกระทุ้
ง”