Page 51 - dcp4

Basic HTML Version

40
๑.๑.๔ ผู้
รั
บมี
ความบริ
สุ
ทธิ์
ผู้
รั
บคื
อ “เนื้
อนาบุ
ญ” จะต้
องเป็
นผู้
มี
ศี
ล มี
คุ
ณธรรมความดี
แต่
ไม่
จำ
�เป็
นจะต้
องเป็
นพระสงฆ์
หรื
อนั
กบวช จะเป็
นคนทั่
วไปก็
ได้
ถ้
าผู้
รั
บดี
ผู้
ทำ
�ก็
ได้
บุ
ญมาก หากผู้
รั
บไม่
ดี
ก็
อาจจะทำ
�ให้
เราได้
บุ
ญน้
อย เปรี
ยบดั
งการหว่
านเมล็
ดข้
าว หากหว่
านลงนาดี
ย่
อมได้
ผลผลิ
ตมาก แต่
หากหว่
านลงไปบนพื้
นดิ
นแห้
ก็
คงไม่
ได้
อะไร ฉะนั้
นในการทำ
�ทาน ตั
วบุ
คคลผู้
รั
บของที่
เราให้
ทานจึ
งเป็
นเงื่
อนไขที่
สำ
�คั
ญที่
สุ
๑.๒ ธรรมทาน หมายถึ
งการให้
อะไรก็
ตามที่
ไม่
ใช่
วั
ตถุ
สิ่
งของ เช่
น การให้
ความรู้
ให้
อภั
ย ให้
สติ
ให้
ข้
อคิ
ด เป็
นต้
น แบ่
งออกเป็
น ความรู้
ทางโลก เช่
น ให้
วิ
ชาความรู้
ต่
างๆ เรี
ยกว่
า วิ
ทยาทาน และความรู้
ทางธรรมเป็
นการ
แนะนำ
�สั่
งสอนชี้
แจงให้
ผู้
อื่
นรู้
จั
กบาปบุ
ญคุ
ณโทษ เช่
น สอนให้
ละชั่
ว ประพฤติ
ดี
ทำ
�ใจให้
ผ่
องใส เรี
ยกว่
าธรรมทาน
ถื
อว่
าเป็
นการให้
ทานที่
ได้
บุ
ญสู
งสุ
๒) ปั
ตติ
ทานะ (ปั
ตติ
ทานมั
ย)
คื
อ การอุ
ทิ
ศส่
วนบุ
ญ ที่
ตนถึ
งพร้
อมแล้
วแก่
ผู้
อื่
น สามารถให้
ได้
ทั้
ผู้
ที่
มี
ชี
วิ
ตอยู่
และล่
วงลั
บไปแล้
ว การอุ
ทิ
ศบุ
ญนั้
น ผู้
ที่
จะรั
บผลบุ
ญต้
องโมทนาบุ
ญคื
อยิ
นดี
ในบุ
ญที่
เขาให้
จึ
งจะได้
รั
บบุ
ถ้
าเป็
นคนด้
วยกั
นก็
สามารถบอกกล่
าวกั
นได้
โดยตรงว่
า“วั
นนี้
ไปทำ
�บุ
ญมานะ เอาบุ
ญมาฝาก” ให้
เขาอนุ
โมทนา คนตาย
ก็
อธิ
ษฐานไปให้
ได้
และเทวดาก็
สามารถส่
งจิ
ตถึ
งท่
านได้
แต่
สำ
�หรั
บสั
ตว์
ในอบายภู
มิ
ปกติ
จะไม่
สามารถรั
บบุ
ญจากการ
อุ
ทิ
ศส่
วนบุ
ญได้
ยกเว้
นเปรตบางประเภทที่
เรี
ยกว่
า ปรทั
ตตุ
ปชี
วิ
กเปรต เปรตประเภทนี้
อยู่
ได้
ด้
วยการขอส่
วนบุ
ส่
วนการอุ
ทิ
ศบุ
ญให้
สั
มภเวสี
คื
อวิ
ญญาณเร่
ร่
อนที่
ตายก่
อนถึ
งอายุ
ขั
ยด้
วยอุ
ปฆาตกรรมนั้
น จะต้
องเฉพาะเจาะจงชื่
จึ
งจะได้
รั
บผลบุ
ญนอกจากนี้
ปั
ตติ
ทานมั
ย ยั
งหมายรวมถึ
งการเปิ
ดโอกาสให้
คนอื่
นได้
มาร่
วมทำ
�บุ
ญด้
วย
๓) ปั
ตตานุ
โมทนา (ปั
ตตานุ
โมทนามั
ย)
คื
อ การยอมรั
บหรื
อการพลอยยิ
นดี
ในบุ
ญหรื
อความดี
ที
ผู้
อื่
ทำ
�โดยกล่
าวสาธุ
(หรื
ออนุ
โมทนาในใจ) ก็
ได้
บุ
ญแล้
ว แม้
ตนเองไม่
ได้
ประกอบการทำ
�บุ
ญขึ้
นมาเอง แต่
ได้
ไปพบ ได้
รั
ทราบว่
ามี
ผู้
ทำ
�บุ
ญ ก็
ร่
วมอนุ
โมทนา ที่
เขามี
โอกาสได้
ไปทำ
�บุ
ญ รู้
สึ
กชื่
นชมยิ
นดี
ไปด้
วย จะทำ
�ให้
เรามี
จิ
ตใจไม่
เศร้
าหมอง
แต่
จะแช่
มชื่
นอยู่
เสมอ เพราะได้
ยิ
นดี
กั
บกุ
ศลผลบุ
ญต่
างๆ อยู่
ตลอดเวลา แม้
จะมิ
ได้
ทำ
�เองโดยตรงก็
ตาม การอนุ
โมทนา
หรื
อร่
วมยิ
นดี
ด้
วย เป็
นการเพิ่
มบุ
ญให้
กั
บตนเอง และผู้
ประกอบบุ
ญนั้
นๆ การอนุ
โมทนาที่
สมบู
รณ์
ต้
องมี
จิ
ตประกอบ
ด้
วยปี
ติ
โสมนั
๒.๒ หมวดศี
“ศี
ล” นั้
น แปลว่
า “ปกติ
” คื
อ สิ่
งหรื
อกติ
กาที่
บุ
คคลจะต้
องระวั
งรั
กษาตามเพศและฐานะ ศี
ลมี
หลาย
ระดั
บ คื
อ ศี
ล ๕ ศี
ล ๘ ศี
ล ๑๐ และ ศี
ล ๒๒๗ และในบรรดาศี
ลชนิ
ดเดี
ยวกั
นก็
ยั
งจั
ดแบ่
งออกเป็
นระดั
บธรรมดามั
ชฌิ
มศี
(ศี
ลระดั
บกลาง) และอธิ
ศี
ล (ศี
ลอย่
างสู
ง ศี
ลอย่
างอุ
กฤษฏ์
)
๔) ศี
ล (ศี
ลมั
ย)
คื
อ ข้
อบั
ญญั
ติ
ทางพระพุ
ทธศาสนา ที่
กำ
�หนดไว้
เพื่
อให้
สำ
�รวมกาย วาจา ใจ ให้
สงบ
เรี
ยบร้
อย มี
ความประพฤติ
ดี
อั
นเป็
นที
ตั้
งแห่
งกุ
ศลธรรม การรั
กษาศี
ล เป็
นการฝึ
กฝนมิ
ให้
ไปเบี
ยดเบี
ยนสร้
างความ
เดื
อดร้
อนให้
แก่
ตนเองและผู้
อื่
น ในขณะเดี
ยวกั
นก็
เป็
นการลด ละ เลิ
กความชั่
ว มุ่
งให้
กระทำ
�ความดี
อั
นเป็
นการพั
ฒนา
คุ
ณภาพชี
วิ
ต มิ
ให้
ตกตํ่
าลง ศี
ลมั
ยจำ
�แนกเป็
นระดั
บต่
างๆ คื
๔.๑ ศี
ล ๕ สำ
�หรั
บสามั
ญชนทั่
วไป
๔.๒ ศี
ล ๘ หรื
อ อุ
โบสถศี
ล สำ
�หรั
บอุ
บาสกอุ
บาสิ
กา
๔.๓ ศี
ล ๑๐ สำ
�หรั
บสามเณร
๔.๔ ศี
ล ๒๒๗ สำ
�หรั
บพระภิ
กษุ