Page 110 - dcp3

Basic HTML Version

99
รู
ปหนั
งใหญ่
เรี
ยบเรี
ยงโดย วาที
ทรั
พย์
สิ
แกะสลั
กรู
ปหนั
งใหญ่
เป็
นงานช่
างพื้
นบ้
านที่
มี
ควบคู่
กั
บการแสดง
หนั
งใหญ่
อั
นเป็
นมหรสพให้
ความบั
นเทิ
งแก่
คนในสั
งคมมาตั้
งแต่
สมั
ยโบราณ ซึ่
จากการศึ
กษาประวั
ติ
ความเป็
นมาของหนั
งใหญ่
มี
หลั
กฐานให้
เชื
อว่
าหนั
งใหญ่
น่
าจะริ
เริ่
มมี
มาตั้
งแต่
สมั
ยกรุ
งศรี
อยุ
ธยา ดั
งปรากฏหลั
กฐานในสมั
ยสมเด็
พระนารายณ์
มหาราชที่
ได้
ทรงพระกรุ
ณาโปรดเกล้
าฯให้
พระมหาราชครู
แต่
เรื่
องสมุ
ทรโฆษคำ
�ฉั
นท์
เพื่
อใช้
ในการแสดงหนั
งใหญ่
เพิ่
มจากเรื่
องรามเกี
ยรติ์
(ผะอบโปษะกฤษณะ,๒๕๓๗ : ๑)
ในประเทศไทย หนั
งประเภทที่
เรี
ยกว่
าหนั
งใหญ่
ได้
รั
บยกย่
องให้
เป็
นศิ
ลปะ
การแสดงหรื
อมหรสพชั้
นสู
งเนื่
องจากได้
รวมเอาคุ
ณค่
าทางศิ
ลปะหลายแขนงเข้
าไว้
ด้
วยกั
น ได้
แก่
คุ
ณค่
าความงามทางด้
านประณี
ตศิ
ลป์
ในการออกแบบและแกะสลั
ลวดลายบนผื
นหนั
ง คุ
ณค่
าความงามด้
านนาฏศิ
ลป์
คื
อลี
ลาการเชิ
ดตั
วหนั
ง คุ
ณค่
ด้
านคี
ตศิ
ลป์
คื
อดนตรี
ที่
บรรเลงประกอบการเชิ
ด และคุ
ณค่
าวรรณศิ
ลป์
อั
นได้
แก่
เนื้
เรื่
อง บทพากย์
บทเจรจา นอกจากนี้
นั
กวิ
ชาการหลายท่
านกล่
าวว่
าหนั
งใหญ่
เป็
มหรสพที่
มี
ความสำ
�คั
ญมาก และมี
ความสำ
�คั
ญทางพิ
ธี
กรรม เพราะเป็
นการแสดงใน
พระราชพิ
ธี
ต่
างๆ เพื
อยกย่
องสรรเสริ
ญพระเกี
ยรติ
คุ
ณและพระราชอำ
�นาจอั
ศั
กดิ
สิ
ทธิ
ของพระเจ้
าแผ่
นดิ
น เนื
องจากมั
กเน้
นการแสดงเรื
องรามเกี
ยรติ
หรื
อรามายณะ
ซึ่
งเป็
นเรื่
องสดุ
ดี
พระเจ้
าแผ่
นดิ
นว่
าเป็
นพระนารายณ์
อวตารมาปราบยุ
คเข็
แต่
เดิ
มเรี
ยกหนั
งใหญ่
ว่
า “หนั
ง” ดั
งที่
มี
หลั
กฐานปรากฏในสมั
ยกรุ
งศรี
อยุ
ธยา
ส่
วนคำ
�ว่
า “หนั
งใหญ่
” นั้
น มี
ผู้
สั
นนิ
ษฐานว่
าเริ่
มใช้
ในสมั
ยพระบาทสมเด็
พระจุ
ลจอมเกล้
าเจ้
าอยู่
หั
ว ทั้
งนี้
น่
าจะเป็
นการเรี
ยกตามขนาดของตั
วหนั
งและอาจเพื่
อให้
เห็
นความแตกต่
างจาก
หนั
งตะลุ
งที่
ตั
วหนั
งมี
ขนาดเล็
กกว่
าและนิ
ยมเล่
นกั
นในภาคใต้
รวมทั้
งหนั
งตะลุ
งที่
มี
แสดงกั
นอยู่
ในภาคกลางและ
ภาคตะวั
นออกเฉี
ยงเหนื
อบางจั
งหวั
ดด้
วย การเรี
ยกชื
อตามขนาดตั
วหนั
งนี
สอดคล้
องกั
บคำ
�เรี
ยกหนั
งในประเทศกั
มพู
ชา
ซึ่
งเรี
ยกตั
วหนั
งขนาดใหญ่
ว่
า “สเบ็
ก” หรื
อ “สเบ็
กทม” และเรี
ยกตั
วหนั
งขนาดเล็
กว่
า “อยอง” (หนั
งตะลุ
งเขมร)
บางท่
านเห็
นว่
าการแสดงหนั
งใหญ่
ของไทยนั้
นคล้
ายคลึ
งกั
บการแสดง “วายั
ง” ของอิ
นโดนี
เซี
ยด้
วย (ฉวี
วรรณศิ
ริ
,
๒๕๒๘ : ๘) แต่
อิ
นโดนี
เซี
ยไม่
มี
ตั
วหนั
งขนาดใหญ่
จึ
งสั
นนิ
ษฐานว่
าหนั
งใหญ่
ของไทยอาจได้
รั
บอิ
ทธิ
พลมาจาก ๒ แหล่
ง คื
จากวั
ฒนธรรมเขมรในช่
วงพุ
ทธศตวรรษที่
๒๐ และอิ
ทธิ
พลจากอิ
นโดนี
เซี
ยผ่
านทางอาณาจั
กรศรี
วิ
ชั
ยซึ่
งอยู่
ทางตอนใต้
ของประเทศไทย ในช่
วงพุ
ทธศตวรรษที่
๑๓-๑๘ อย่
างไรก็
ตาม นั
กวิ
ชาการส่
วนมากเชื่
อว่
าการแสดงหนั
งใหญ่
ที่
แพร่