ชุ
มชนลั
บแล
ตำบลศรี
พนมมาศ อำเภอลั
บแล จั
งหวั
ดอุ
ตรดิ
ตถ์
ชุ
มชนท่
องเที่
ยว
เชิ
งวั
ฒนธรรม
14
๔) ชาติ
พั
นธุ์
พวน
หรื
อทั่
วไปเรี
ยกว่
า ลาวพวน ไม่
สามารถระบุ
แหล่
งที่
ชั
ดเจนได้
เพี
ยงแต่
กระจั
ดกระจายอยู่
เบาบางในแถบชายขอบทางสุ
โขทั
ย อยากจะทำความเข้
าใจ
ให้
ชั
ดเจนอี
กครั้
งหนึ่
งว่
า พวน และ ยวน นั้
นแตกต่
างกั
นอย่
างชั
ดเจน พวนนั้
นเป็
นกลุ่
มชน
ที่
เคลื่
อนย้
ายมาจากเมื
องเชี
ยงขวาง ประเทศลาว แต่
ที่
จะทำให้
สั
บสนกั
น น่
าจะเป็
นผ้
าซิ่
น
ซึ่
งลายซิ่
นพวนสุ
โขทั
ยและไทยวนลั
บแลนั้
นดู
แล้
วออกจะคล้
ายกั
น แต่
มี
ข้
อแตกต่
าง
ในรายละเอี
ยดปลี
กย่
อย ซึ่
งยั
งไม่
สามารถระบุ
ได้
ว่
ายวนลั
บแลได้
รั
บอิ
ทธิ
พลลายจก
จากพวนสุ
โขทั
ย หรื
อว่
าพวนสุ
โขทั
ยได้
รั
บอิ
ทธิ
พลลายจกจากลั
บแลซึ่
งต้
องศึ
กษา
กั
นต่
อไป
การทำข้
าวแคบนั้
นมี
มานานแล้
ว สั
นนิ
ษฐานว่
า น่
าจะมากกว่
า ๑๐๐ ปี
ขึ้
นไป และอาจมาพร้
อมๆ กั
บการมาสร้
างเมื
องลั
บแลของเจ้
าฟ้
าฮ่
ามกุ
มาร เมื่
อประมาณ
พุ
ทธศั
กราช ๑,๕๐๐ และที่
เรี
ยกว่
าข้
าวแคบนั้
น เรี
ยกตามลั
กษณะของปากหม้
อ
ที่
ทำข้
าวแคบ ตอนไล้
แป้
งซึ่
งมี
ลั
กษณะแคบ แต่
เดิ
มนั้
นข้
าวแคบมี
อยู่
๒ ลั
กษณะ
คื
อ ข้
าวแคบธรรมดาและข้
าวแคบงา มี
ขนาดใหญ่
และหนากว่
าในปั
จจุ
บั
นส่
วนใหญ่
ชาวลั
บแลจะเรี
ยกกั
นว่
า “ข้
าวแคบหนา” รสชาติ
ออกเค็
มมี
ส่
วนผสมแค่
แป้
ง เกลื
อ
และงาดำ เท่
านั้
น เวลาจะรั
บประทานข้
าวแคบในสมั
ยก่
อน จะนำมาปิ้
งไฟ แล้
วบด
ให้
แตกเป็
นชิ้
นเล็
กๆ (ภาษาพื้
นบ้
านของชาวลั
บแลเรี
ยกว่
า“การเนี
ยงข้
าวแคบ”)
ใส่
ถ้
วยรั
บประทานกั
บข้
าวเหนี
ยวใส่
หมู
ปิ
้
งก็
ได้
เป็
นอาหารเช้
าที
่
รั
บประทานในหนึ
่
งมื
้
อได้
ข้
า วพั
นผั
ก ข้
า ว แคบ หมี่
พั
น
เป็
นอาหารพื้
นเมื
องของจั
งหวั
ดอุ
ตรดิ
ตถ์
ที่
เกิ
ดจาก
ภู
มิ
ปั
ญญาของคนไทยโบราณ ซึ่
งมี
มานาน
หลายชั่
วอายุ
คน ในการถนอมอาหารให้
สามารถ
เก็
บไว้
ได้
นาน และสะดวกสบายในการนำติ
ดตั
ว
ออกไปกิ
นระหว่
างวั
นเมื่
อต้
องเดิ
นทางไปทำนา
ทำไร่
นอกบ้
าน
๑. ด้
านอาหาร
ชุ
มชนท่
องเที่
ยวเชิ
งวั
ฒนธรรม ชุ
มชนลั
บแล มี
มรดกภู
มิ
ปั
ญญา
ทางวั
ฒนธรรมที่
เป็
นเอกลั
กษณ์
และเป็
นอั
ตลั
กษณ์
ของพื้
นที่
ได้
แก่
๑) ข้
าวแคบ ข้
าวพั
นผั
ก หมี่
พั
น
ข้
อมู
ลวิ
ถี
อารยธรรมไทย ที่
โดดเด่
นภายในชุ
มชนท่
องเที่
ยวเชิ
งวั
ฒนธรรม