Page 44 - มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม๒๕๕๒

Basic HTML Version

36
มรดกภู
มิ
ปั
ญญาทางวั
ฒนธรรม
นั
กปราชญ์และผู
้รู
้ด้านนาฏศิลป์ไทยหลายท่านมีความเห็
ไปในทำนองเดี
ยวกั
นว่
า “ละครชาตรี
” เป็
นละครที่
อาจจะ
เก่
าแก่
ที่
สุ
ดและน่
าจะเป็
นต้
นแบบของละครร้
อง-รำทั
งหมด
ของไทย รวมทั
้งยั
งเป็
นหลั
กฐานที่
สะท้อนให้เห็
นถึงความเชื่
อมโยง
ระหว่
างละครภาคกลางและการแสดงโนราภาคใต้
ได้
ด้
วย
คำว่า “ชาตรี” มีผู
้สั
นนิษฐานไว้หลายทาง เช่น หมายถึง ผู
้รู
ศาสตราการ รู
วิ
ธี
ป้
องกั
นภยั
นตรายจากศาสตราวุ
ธทั
งปวง
หรื
อเป็
นการออกเสี
ยงที่
เพี
ยนมาจากคำในภาษาสั
นสกฤตว่
“กษั
ตรียะ” ที่
ออกเสียงว่
า “ฉั
ตรียะ” เมื่
อเข้ามาในประเทศไทย
จึ
งออกเสี
ยงเพี
ยนไปเป็
น “ชาตรี
” เนื่
องจากเป็
นการแสดงที่
เป็
นเรื่
องราวของกษั
ตริย์หรือมีเครื่
องแต่งกายคล้ายเครื่
องทรง
ของกษั
ตริย์
แต่
โบราณ หรือคำว่
า ชาตรี เพี้ยนมาจาก “ยาตรี”
หรื
อ “ยาตรา” ซึ่
งแปลว่
า เดิ
นทางท่
องเที่
ยวไป ในปั
จจุ
บั
อินเดียก็
ยั
งมีละครเร่
ที่
เรียกว่
า “ชาตรี” นี้อยู
เป็
นต้น
ละครชาตรีได้แพร่หลายเป็
นที่
นิยมอยู
่ในจั
งหวั
ดภาคใต้
ของไทยก่
อน จากนั
นจึ
งเข้
าสู
กรุ
งเทพ ๓ ครั
งด้
วยกั
น คื
ครั
งแรกเมื่
อ พ.ศ. ๒๓๑๒ เมื่
อสมเด็
จพระเจ้
ากรุ
งธนบุ
รี
เสด็
จกรี
ฑาทั
พไปปราบเจ้
านครศรี
ธรรมราชและกวาดต้
อน
ผู
คนมาเมื
องหลวงพร ้
อมด้
วยพวกละคร ครั
งที่
๒ เมื่
พ.ศ. ๒๓๒๓ ในการฉลองพระแก้วมรกต โปรดให้ละครของ
เจ้านครฯ ขึ ้นมาแสดงและได้แสดงประชั
นกั
บละครผู
้หญิงของ
หลวงด้วย และครั
้งที่
๓ เมื่
อ พ.ศ. ๒๓๗๕ ในสมั
ยรั
ชกาลที่
สมเด็
จเจ้
าพระยาบรมมหาประยุ
รวงศ์ (ดิ
ศ บุ
นนาค) สมั
ยที่
ดำรงตำแหน่
งเป็
นเจ้
าพระยาพระคลั
ง ได้
กรี
ฑาทั
พลงไป
ปราบปรามระงั
บเหตุ
การณ์
ทางหั
วเมืองภาคใต้ ขากลั
บกรุ
งเทพฯ
มี
ผู
ที่
มี
ความสามารถในการแสดงละครชาตรี
อพยพติ
ดตาม
กลั
บมาด้
วย และได้
รวบรวมกั
นตั
งเป็
นคณะละครรั
บเหมา
แสดงในงานต่างๆ ต่
อมาจนเป็
นที่
ขึ้นชื่
อ และฝึกหั
ดสืบต่
อกั
นมา
จนถึงทุ
กวั
นนี้
ละครชาตรีมีองค์
ประกอบที่
สำคั
ญ ดั
งนี้
๑. โรง ละครชาตร ี
ในครั
งโบราณใช ้
เสา ๔ ต ้
ปั
ก ๔ มุ
ม เป็
นสี่
เหลี่
ยมจั
ตุ
รั
ส มีเตียง ๑ เตียง และเสากลาง
ซึ่
งถื
อว่
าเป็
นเสามหาชั
ยอี
ก ๑ เสาเท่
านั
น ไม่
มี
ฉาก และมี
หลั
งคาไว้บั
งแดดบั
งฝน
๒. ละครชาตรี
แต่
โบราณไม่
สวมเสื
อเพราะทุ
กตั
ใช้
ผู
ชายแสดง ตั
วยื
นเครื่
องซึ่
งเป็
นตั
วที่
แต่
งกายดี
กว่
าตั
วอื่
ละครชาตรี
ก็
นุ
งสนั
บเพลา นุ
งผ้า
ค า ด เ จ ี
ย ร บ า ด
มี
ห้
อยหน้
า ห้
อย
ข้
าง สวมสั
งวาล
ทั
บทรวง กรอง
คอบนตั
ว เ ปล่
บ น ศ ี
ร ษ ะ ส ว ม
เทริด ต่
อมาเมื่
อมี
ผู
แสดงเป็
นหญิ
การแต่
งกายจึงมั
กใช้แบบสวมเสื้ออนุ
โลมอย่
างละครนอก
๓. วิ
ธี
แสดง เริ่
มต้
นด้
วยการทำพิ
ธี
บู
ชาครู
เบิ
กโรง
ปี ่
พาทย์
โหมโรงชาตรี ร้องประกาศหน้าบท จากนั
้นตั
วยืนเครื่
อง
ออกมารำซั
ดหน้
าบทตามเพลง โดยการรำเวี
ยนซ้
ายซึ่
งใน
สมั
ยโบราณขณะที่
รำตั
วรำจะต้องว่าอาคมไปด้วยเพื่
อป้องกั
เสนียดจั
ญไร เรียกว่า “ชั
กยั
นต์” เริ่
มจั
บเรื่
อง ตั
วละครจะขึ ้น
นั่
งเตียงแสดง เมื่
อเข้าเรื่
อง ตั
วละครต้องร้องเองไม่มีต้นเสียง
ตั
วละครตั
วอื่
นๆ ร้
องรั
บก็
เป็
นลู
กคู
และเมื่
อการแสดงจบลง
จะรำซั
ดอี
กครั
งหนึ่
ง แต่ครั
งนี
เป็
นการว่
าอาคมถอยหลั
งและ
รำเวียนขวา เรียกว่
า “คลายยั
นต์
” เป็
นการถอนอาถรรพณ์
ทั
้งปวง
๔. เครื่
องดนตรี
ที่
ใช้
ในการแสดง ประกอบด้
วย ปี ่
สำหรั
บทำทำนอง ๑ เลา โทน ๑ ใบ กลองชาตรี ๒ ใบ และ
ฆ้อง ๑ คู
ไม่
มีปี ่
พาทย์
ระนาดเอกอย่างที่
เห็
นในปั
จจุ
บั
ละครชาตรี
ได้
ถู
กปรั
บปรุ
งเปลี่
ยนแปลงเรื่
อยมาตาม
ยุ
คสมั
ย เช่
น การร้
องดำเนิ
นเรื่
อง จากเดิ
มที่
เป็
นทำนองของ
โนรา เช่
น เพลงหน้าแตระ เพลงร่
ายชาตรี เปลี่
ยนมาร้องเพลง
ไทยภาคกลางทำนอง ๒ ชั
้นง่
ายๆ มีการเพิ่
มระนาดเอกเข้ามา
เพื่
อจะได้
บรรเลงขั
บร้
องและให้
ตั
วละครรำได้
ดี
ขึ
น ไม่
รำซั
ชาตรีไหว้ครู
แต่ใช้กระบวนรำเพลงช้า เพลงเร็
ว และเพลงลา
แทน ซึ่
งในวงการละครรำแก้
บนเร ี
ยกว่
า “รำถวายมื
อ”
ดั
งนั
้น โดยสภาพความเป็
นจริงแล้ว “ละครชาตรี” แบบดั
้งเดิม
ได้สู
ญหายไปจากวงการละครรำของไทยมาไม่
น้อยกว่
า ๔๐ ปีแล้ว
แต่
ละครชาตรี
ที่
เรี
ยกกั
นอยู
ในปั
จจุ
บั
นมี
สภาพเป็
นละครรำ
ที่
ใช้
สำหรั
บแก้
บนเท่
านั
น ตั
วอย่
างคณะละครชาตรี
ที่
โดดเด่
เช่
คณะอุ
ดมศิ
ลป์
กระจ่
างโชติ จั
งหวั
ดพระนครศรี
อยุ
ธยา
คณะเบญจา ศิษย์
ฉลองศรี จั
งหวั
ดเพชรบุ
รี