Page 90 - dcp5

Basic HTML Version

81
อั
กษรธรรมอี
สาน
เรี
ยบเรี
ยงโดย รองศาสตราจารย์
วี
ณา วี
สเพ็
อั
กษรธรรมอี
สาน มี
ต้
นกำ
�เนิ
ดจากอั
กษรปั
ลวะ ต่
อมาได้
พั
ฒนาเป็
นอั
กษรมอญโบราณ และพั
ฒนามาเป็
อั
กษรธรรมล้
านนาและอั
กษรธรรมอี
สาน ดั
งปรากฏหลั
กฐานในบริ
เวณภาคตะวั
นออกเฉี
ยงเหนื
อ หรื
อภาคอี
สาน
ของประเทศไทย สาเหตุ
ที่
ชื่
อว่
าตั
วอั
กษรธรรมนั้
น เพราะใช้
ตั
วอั
กษรชนิ
ดนี้
ในการบั
นทึ
กเรื่
องราวเกี่
ยวกั
บพระพุ
ทธ
ศาสนา เช่
น พระไตรปิ
ฎก พระธรรมคั
มภี
ร์
ต่
างๆ เป็
นต้
น ซึ่
งถื
อว่
าเป็
นอั
กษรชั้
นสู
ง อั
กษรศั
กดิ์
สิ
ทธิ์
ตั
วอั
กษรชนิ
ดนี้
ใช้
ในประเทศลาวก็
เรี
ยกว่
าตั
วธรรมลาว ใช้
ในภาคอี
สานก็
เรี
ยกว่
าตั
วธรรมอี
สาน ตามแต่
ละท้
องถิ่
นจะเรี
ยกแต่
ก็
คื
อตั
อั
กษรชนิ
ดเดี
ยวกั
นนั่
นเอง
อั
กขรวิ
ธี
ของอั
กษรธรรมอี
สานจะวางพยั
ญชนะต้
นซึ่
งเป็
นพยั
ญชนะตั
วเต็
ม (๓๗ รู
ป) ไว้
บนบรรทั
ด และวางสระ
ไว้
รอบพยั
ญชนะต้
น ส่
วนพยั
ญชนะตั
วสะกดและพยั
ญชนะตั
วควบกลํ้
า จะวางไว้
ใต้
บรรทั
ด โดยใช้
รู
ปพยั
ญชนะครึ่
งตั
หรื
อครึ่
งรู
ป ซึ่
งเรี
ยกว่
า “ตั
วเฟื้
อง” หรื
อ “ตั
วห้
อย” มี
ทั้
งหมด ๑๖ ตั
ว ส่
วนพยั
ญชนะตั
วสะกดที่
ไม่
มี
รู
ปครึ่
งตั
วจะเขี
ยน
ด้
วยตั
วเต็
ม ส่
วนสระในอั
กษรธรรมอี
สาน แบ่
งเป็
น ๒ ประเภท คื
อ สระลอย ๘ รู
ป และสระจม ๒๗ รู
ป วรรณยุ
กต์
ในอั
กษรธรรมอี
สานไม่
มี
รู
ป แต่
มี
เสี
ยงวรรณยุ
กต์
ครบทั้
ง ๕ เสี
ยงเหมื
อนภาษาไทย โดยที่
ผู้
อ่
านต้
องผั
นหาเสี
ยงเอาเอง
ตามความหมายของประโยคหรื
อข้
อความนั้
น ๆ เป็
นเกณฑ์
ในการพิ
จารณา ซึ่
งวิ
ธี
การดั
งกล่
าวนี้
คนโบราณอี
สานเรี
ยก
ว่
า “หนั
งสื
อ หนั
งหา” คื
อ หาความหมายเอาเองตามคำ
�บริ
บทที่
แวดล้
อมของคำ
�นั้
น ตั
วอย่
างเช่
น คำ
�ถ่
ายถอด “ปู
ได้
ปู
มาแตนา” คำ
�อ่
าน “ปู่
ได้
ปู
มาแต่
นา” นอกจากนี้
ยั
งมี
อั
กขรวิ
ธี
พิ
เศษ หมายถึ
งอั
กษรธรรมอี
สานที่
มี
วิ
ธี
ประสมอั
กษร
ที่
แตกต่
างจากกฎเกณฑ์
ทั่
วไป ซึ่
งมี
รู
ปร่
างแตกต่
างไปจากคำ
�เดิ
มหรื
อคำ
�อ่
านมาก ทั้
งนี้
อาจเป็
นเพราะคนอี
สานสมั
โบราณต้
องการที่
จะประหยั
ดเวลาและแรงงาน ตลอดถึ
งจำ
�นวน ขนาดและขอบเขตของใบลานที่
ใช้
จารจึ
งคิ
ดบั
ญญั
ติ
ศั
พท์
พิ
เศษขึ
นใช้
บางที
ก็
เพื
อแสดงภู
มิ
ความรู
ฉะนั
น จึ
งเป็
นปั
ญหามากสำ
�หรั
บผู
เริ
มหั
ดอ่
านและจะต้
องจดจำ
�เป็
นกรณี
พิ
เศษ
การคงอยู่
ของอั
กษรธรรมอี
สานปั
จจุ
บั
น พบว่
ามี
กระจายอยู่
ตามพื้
นที่
จั
งหวั
ดต่
างๆ ในภาคอี
สานเกื
อบทุ
กจั
งหวั
อย่
างไรก็
ตาม ปั
ญหาที่
เกิ
ดขึ้
นคื
อ มี
ผู้
ที่
สามารถอ่
านอั
กษรโบราณได้
จำ
�นวนน้
อยมาก และส่
วนมากจะเป็
นผู้
สู
งอายุ
บาง
พื้
นที่
ไม่
มี
ผู้
อ่
านได้
เลย เนื่
องจากเป็
นอั
กษรที่
ไม่
ได้
มี
การถ่
ายทอดกั
นในชุ
มชน และไม่
ได้
นำ
�อั
กษรมาใช้
ในการสื่
อสาร
ด้
วยระบบการศึ
กษาแบบใหม่
จากส่
วนกลางเข้
าไปแทนที่
หลั
กฐานการใช้
อั
กษรธรรมอี
สานปรากฏในจารึ
ก เอกสารใบลาน และสมุ
ดข่
อย โดยอั
กษรธรรมอี
สานที่
ปรากฏในจารึ
กเก่
าที่
สุ
ดคื
อ จารึ
ก วั
ดถํ้
าสุ
วรรณคู
หา ๑ ระบุ
จ.ศ. ๙๒๔ ซึ่
งตรงกั
บ พ.ศ. ๒๑๐๕ จากฐานข้
อมู
ลจารึ
ในประเทศไทยของศู
นย์
มานุ
ษยวิ
ทยาสิ
ริ
นธร ปรากฏจารึ
ก อั
กษรธรรมอี
สาน ทั้
งสิ้
น ๔๕ จารึ
ก สำ
�หรั
บเอกสารใบ
ลานหรื
อหนั
งสื
อใบลาน เป็
นเอกสารโบราณประเภทหนึ
งที่
ปรากฏการใช้
อั
กษรธรรมอี
สาน ในการจาร เพื่
อบั
นทึ
เนื้
อหาและเรื่
องราวต่
างๆ พบว่
า มี
ใบลานที่
จารด้
วยอั
กษรธรรมอี
สานที่
วั
ดมหาชั
ย จั
งหวั
ดมหาสารคาม วั
ดมหาธาตุ