Page 88 - dcp5

Basic HTML Version

79
อั
กษรธรรมล้
านนา
เรี
ยบเรี
ยงโดย อภิ
วั
นท์
พั
นธ์
สุ
อั
กษรธรรมล้
านนา มี
ชื่
อเรี
ยกหลายอย่
าง ได้
แก่
ตั
วเมื
อง อั
กษรไทยวน อั
กษรไทยล้
านนา อั
กษรไทยเหนื
อและ
อั
กษรพื้
นเมื
องล้
านนาไทย จั
ดอยู่
ในกลุ่
มอั
กษรไทที่
น่
าจะมี
ต้
นเค้
ามาจากอั
กษรท้
องถิ่
นโบราณหลายแบบ คื
อ อั
กษรมอญ
โบราณ อั
กษรขอมโบราณ อั
กษรปยู
และอั
กษรอื่
นๆ ของอาณาจั
กรพื้
นเมื
องโบราณ โดยมี
ต้
นเค้
าเดิ
มจากอั
กษร
ปั
ลลวะ และได้
มี
วิ
วั
ฒนาการมาเป็
นอั
กษรธรรมหรื
อตั
วเมื
องในปั
จจุ
บั
น ถื
อว่
าอั
กษรล้
านนามี
ฐานะเป็
นอั
กษรที่
ศั
กด์ิ
สิ
ทธ์ิ
โดยใช้
ในการจารึ
กลงบนศิ
ลา หรื
อจารลงในคั
มภี
ร์
ใบลานที่
เกี่
ยวกั
บพระธรรมคำ
�สอนต่
างๆ และมี
พั
ฒนาการไปจนถึ
การใช้
เขี
ยนตำ
�รายา ตำ
�ราโหราศาสตร์
ตำ
�ราพิ
ชั
ยสงคราม ตลอดจนบั
นทึ
กวรรณกรรม คำ
�โคลง และบั
นทึ
กเหตุ
การณ์
ประวั
ติ
ศาสตร์
ต่
างๆ อั
กษรชนิ
ดนี้
ใช้
กั
นอย่
างแพร่
หลายในภาคเหนื
อของประเทศไทย หรื
อดิ
นแดนล้
านนาดั้
งเดิ
ครอบคลุ
ม ๘ จั
งหวั
ดภาคเหนื
อ ตอนบน คื
อ เชี
ยงใหม่
ลำ
�พู
น ลำ
�ปาง พะเยา แพร่
น่
าน เชี
ยงราย และแม่
ฮ่
องสอน
ลั
กษณะเฉพาะของอั
กษรล้
านนาคื
อ มี
รู
ปร่
างกลมป้
อมคล้
ายกั
บอั
กษรพม่
า มอญ และเงี้
ยว ตั
วอั
กษรบางตั
วยั
มี
สั
ณฐานคล้
ายกั
บอั
กษรอาหม และบางตั
วก็
คล้
ายกั
บอั
กษรมอญจารึ
ก มี
ลายเส้
นโค้
งมนสวยงาม มี
พยั
ญชนะทั้
งหมด
๔๔ ตั
ว จั
ดเป็
นวรรคแบบภาษาบาลี
วรรคละ ๕ ตั
วอั
กษร รวม ๕ วรรค ส่
วนที่
เหลื
อเป็
นเศษวรรค และตั
วอั
กษรพิ
เศษ
ที่
เพิ่
มเข้
ามาในภายหลั
งเมื่
อมี
การปรั
บรั
บภาษาไทยกลางเข้
ามาในล้
านนา ส่
วนสระมี
๒ ชนิ
ด คื
อสระลอย ๘ ตั
ว สระจม
๓๑ ตั
ว ซึ่
งภาษาล้
านนาเรี
ยกว่
า ไม้
เช่
น ไม้
กะ คื
อ สระอะ เป็
นต้
น นอกจากนี้
ยั
งมี
การเขี
ยนพยั
ญชนะและสระในรู
พิ
เศษต่
างๆ อี
กจำ
�นวนหนึ่
งด้
วย สำ
�หรั
บวรรณยุ
กต์
มี
การผั
นเสี
ยงตามอั
กษรที่
จั
บคู่
เป็
นอั
กษรสู
งและตํ่
าโดยมี
วรรณยุ
กต์
๒ รู
ป คื
อ เอก (ไม้
เหยาะ) และ โท (ไม้
ขอช้
าง) แต่
สามารถผั
นเสี
ยงได้
๖ เสี
ยง โดยมี
เสี
ยงพิ
เศษคื
อ เสี
ยงครึ่
งโทครึ่
งตรี
สำ
�หรั
บตั
วเลขมี
๒ ชุ
ด คื
อ เลขโหรา ๑๐ ตั
ว และ เลขในธรรม ๑๐ ตั
ว ลั
กษณะเฉพาะอี
กประการหนึ่
งคื
อ การออก
เสี
ยงอั
กษรบางตั
วยั
งแตกต่
างจากอั
กษรไทยกลาง คื
อ อั
กษร ค (ค) ออกเสี
ยงเป็
น k (ก) อั
กษร ช (ช) ออกเสี
ยงเป็
น c
(จ) อั
กษร ท (ท) ออกเสี
ยงเป็
น t (ต) อั
กษร พ (พ) ออกเสี
ยงเป็
น p (ป) และ อั
กษร ร (ร) ออกเสี
ยงเป็
น h (ฮ)
ปั
จจุ
บั
นไม่
มี
การใช่
อั
กษรล้
านนาในการบั
นทึ
ก จดจาร หรื
อสื่
อสารเป็
น ลายลั
กษณ์
อั
กษรอย่
างเป็
นทางการ
เพราะคนล้
านนาใช้
ภาษาไทยกลางในการสื่
อสารแทน มี
เฉพาะคนบางกลุ่
มที่
อ่
านออกเขี
ยนได้
อาทิ
พระสงฆ์
บางรู
ปที่
เคยเรี
ยนเขี
ยนอ่
านอั
กษรล้
านนามาก่
อน หรื
อผู้
ที่
ผ่
านการบวชเรี
ยนแล้
วลาสิ
กขาบทออกมาที่
เรี
ยกว่
า “พ่
อน้
อย” หรื
“พ่
อหนาน” ปั
จจุ
บั
นมี
โรงเรี
ยนบางแห่
งที่
สนั
บสนุ
นส่
งเสริ
มให้
มี
การสอนหลั
กสู
ตรภาษาล้
านนาอย่
างง่
าย อาทิ
โรงเรี
ยน
ในเขตเทศบาล
นครเชี
ยงใหม่
อั
กษรธรรมล้
านนา ปรากฏในหลั
กฐานประเภทจารึ
กที่
เก่
าแก่
ที่
สุ
ด คื
อ จารึ
กลานทอง
พ.ศ. ๑๙๑๙ พบที่
ฐานพระประธาน วั
ดมหาธาตุ
จั
งหวั
ดสุ
โขทั
ย ซึ่
งมี
ข้
อความอยู่
๔ บรรทั
ด จารด้
วยอั
กษรไทยสุ
โขทั
๓ บรรทั
ด เป็
นภาษาไทยและจารด้
วยอั
กษรล้
านนา ๑ บรรทั
ด เป็
นภาษาบาลี
อั
กษรธรรมล้
านนา ได้
รั
บการขึ้
นทะเบี
ยนเป็
นมรดกภู
มิ
ปั
ญญาทางวั
ฒนธรรมของชาติ
ประจำ
�ปี
พุ
ทธศั
กราช
๒๕๕๕